Skip to contentมิว่าจะพยายามปิดกั้นข่าวสารนี้เพียงใด แต่ก็ยังลามไปทั่วเมืองวารีทั้งหมดอยู่ดี การกลับทิศทางอันเหมาะกับตัวมันในสถานการณ์เช่นนี้ราวกับส่องสุกรในคันฉ่องปรากฏว่าพ่ายแพ้ทั้งภายในและภายนอก
ตระกูลชนชั้นสูงหญิงสาวทั้งหลายต่างเกรี้ยวกราดและกดดันต่อจินปูยี่ทุกสองหรือสามวัน พวกเขาเรียกร้องให้หาผู้กระทำผิดตัวจริง
ในทางกลับกันสกุลซูมิมีความสุขมากนัก พวกมันรู้สึกว่าซูถิงตกเป็นเหยื่อ เป็นผู้เดียวซึ่งต้องการจับโจรเพื่อความยุติธรรม แต่นั่นกลับนำปัญหามาสู่ตัวของมันเอง ไม่ใช่เพียงแค่ซูถิงแต่สกุลซูทั้งหมดล้วนแต่ได้รับผลกระทบ ชื่อเสียงของพวกมันมิสามารถเยียวยาได้
จิตใจของจินปูยี่ร้อนรนมากนัก มันอยากจะสบถออกมา
แม้ว่าสำนักต่อสู้จะอยู่ในภาวะโกลาหลวุ่นวาย แต่อู๋เซียงถูกปล่อยไว้เพียงลำพัง อย่างน้อยสองสามวันนี้ก็มิต้องกังวลเรื่องถูกรบกวนจากผู้อื่น
ยิ่งเขาสามารถฟื้นคืนความสามารถมากเพียงไร ก็จะยิ่งเข้าใจเกี่ยวกับโลกนี้มากขึ้นเท่านั้น มันคิดถึงครั้งสุดท้ายที่จินปูยี่ข่มขู่ตัวมันด้วยใบหน้าน่ารังเกียจนั้น เวลานี้มันดูมิแปลกประหลาดด้วยเป็นผู้ที่เกิดมาในตระกูลชนชั้นต่ำอย่างตระกูลฉินและจางเซียนซึ่งมาจากหนึ่งในตระกูลชนชั้นโดดเด่นเช่นตระกูลจาง
ด้วยเหตุนี้ต่อให้อู๋เซียงเป็นผู้ได้รับการต่อยตีเช่นไร มันย่อมเป็นผู้ที่ได้รับการตำหนิอยู่ดี
นี่เป็นข้อเท็จจริงมิได้เติมแต่ง ในโลกนี้ผู้มีสถานะชนชั้นต่ำกว่าย่อมหมายถึงได้กระทำสิ่งเลวร้าย!
ชนชั้นโดดเด่นอยู่ในกลุ่มของชนชั้นสูงในลำดับต่ำลงมา ได้รับการจัดเป็นอันดับสองรองจากลำดับสุดท้ายหรือก็คือชนชั้นต่ำต้อย ความแตกต่างระดับหนึ่งขั้นนี้เป็นเหตุผลเดียวสำหรับการปฏิบัติดูแลที่ได้รับ
หากมันเป็นหนึ่งในบุตรหลานของชนชั้นสูง จางเซียนย่อมเป็นผู้ได้รับ “คำตักเตือน” จากจินปูยี่ แน่นอนว่ามันจะไม่ถูกกล่าวหาเป็นจำเลยโดยผู้อื่นเพราะขโมยชุดเอี๊ยมของสตรี หากเป็นตัวมันผลลัพธ์อันยากจะจินตนาการเช่นนี้ย่อมประสบความสำเร็จ
ความจริงอันโหดร้ายทำให้อู๋เซียงตระหนักว่าถ้าหากเขามิแข็งแกร่งพอในโลกนี้ คงมิอาจอยู่กับความภาคภูมิใจกว่าสุกรหรือสุนัขเท่านั้น โดยเฉพาะหากมันมิมีสถานะภูมิหลังอันแข็งแกร่ง
โชคดีที่มันยังเป็นบุตรหลานของขุนนาง แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของขุนนางที่ต่ำสุด แต่ก็ยังคงมีคุณสมบัติผูกขาดคุณสมบัติที่เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นผู้ดี แล้วเหล่าสามัญชนทั่วไปเล่า? ส่วนใหญ่คงมีช่วงเวลาอันยากลำบากกว่าภายใต้การอยู่รอดเช่นนี้ใช่หรือไม่?
โลกนี้ล้วนเป็นสังคมที่แบ่งแยกลำดับชนชั้นไว้ชัดเจนอย่างมาก!
ทุกอย่างมีระบบลำดับชั้นเข้มงวดทั้งที่เป็นมนุษย์หรือวัตถุก็ตาม
นอกจากนี้วิชาการต่อสู้นั้นได้รับการยกย่องอย่างมากและผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ฝึกฝนมัน พลังทั้งหมดจะต้องบรรลุตามความแข็งแรงและคงไว้ซึ่งทักษะวิชาการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่นี้
ระบบลำดับชั้นมีความชัดเจนสำหรับผู้คน ครอบครัวและอาณาจักร ความแข็งแกร่งที่ปรารถนาในแต่ละระดับล้วนมีป้ายราคาติดไว้ชัดเจน
ระดับต่างๆมีผลประโยชน์แตกต่างกันชัดเจน หากท่านต้องการสิทธิผลประโยชน์มากขึ้นท่านต้องสามารถเพิ่มระดับความชำนาญทักษะในการต่อสู้! กฎเกณฑ์นี้ใช้กับทุกบุคคล ทุกครอบครัวและทุกอาณาจักร!
พิจารณาตระกูลฉินเป็นตัวอย่าง พวกเขาอยู่ในระดับต่ำสุดของชนชั้นสูง แน่นอนว่ากำลังเผชิญกับสถานการณ์ล่อแหลมตระกูลฉินอาจถูกยุบลงได้ทุกเมื่อ ในเมืองวารีนั้นมีโรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากซึ่งล้วนแต่ของชนชั้นสูง
ในงานประเมินชนชั้นตระกูลซึ่งถูกจัดขึ้นทุกยี่สิบปี อาจมีการเพิ่มหรือลดจำนวนที่นั่ง ในสถานการณ์ปกติหลายตระกูลต้องแข่งขันชิงที่นั่งเดิม แต่ในสถานการณ์จำกัดนี้บางตระกูลจะได้ที่นั่งเพิ่มมากขึ้นและบางตระกูลกลับถดถอย บางคนกระโดดข้ามประตูมังกรแต่บางคนกลับต้องสูญเสียทุกสิ่ง
การกระตุ้นเช่นนี้ทำให้แต่ละตระกูลอยู่ในสภาวะตื่นตัว รักษาอำนาจของพวกมันและส่งเสริมมิให้หย่อนยาน เพียงหนึ่งข้อผิดพลาดอาจนำไปสู่การลดสถานะชนชั้นหรือแม้กระทั่งสูญเสียที่นั่งชนชั้นสูงของพวกมัน!
เมื่อหลายร้อยปีก่อนตระกูลฉินเป็นหนึ่งในอำนาจทรงอิทธิพลของตระกูลชนชั้นสูง แม้ว่าระดับลดลงแต่ยังมีช่องว่างทำให้ฝีมือลดลง อาจจะลดลงไปถึงระดับชนชั้นโดดเด่นจากนั้นก็นำไปสู่ชนชั้นต่ำต้อย
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ชนชั้นสูงต่ำต้อยเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในชนชั้นขุนนางแล้ว
พวกมันจะเป็นเพียงสามัญชนหากระดับลดลงอีกครั้ง!
ในโลกนี้ความคิดผู้คนล้วนแตกต่างไปจากผู้คนจากชีวิตก่อนหน้าของมันนัก ก่อนจะมีขุนนางนั้น ประชาชนมิได้มีอิสรภาพใดๆ พวกเขาต้องพึ่งพาไว้วางใจเหล่าขุนนางนั้นเพื่อความอยู่รอด
หากวันหนึ่งเหล่าขุนนางมิมองเห็นท่านในสายตา ล้วนมาเพื่อข่มขู่รีดไถ ท่านย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องทนรับมันไว้ เว้นเสียแต่ว่าขุนนางที่ยืนหลบอยู่ในร่มยินดีปกป้องท่าน แม้แต่กรณีปลิดชีพของตนซึ่งตัวท่านมิได้สิ่งใดเลย
โดยส่วนใหญ่นับแต่ที่เหล่าขุนนางเกิดล้วนต่างก็มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างตราบเท่าที่สามัญชนทั่วไปต้องการตลอดชีวิต
อู๋เซียงรู้ว่าบรรดาขุนนางในโลกนี้มีนิสัยเอารัดเอาเปรียบกว่าระดับซึ่งได้รับสิทธิพิเศษจากอดีตโลกของเขา
อย่างไรก็ตามนิสัยเอาเปรียบสามัญชนเช่นนี้ย่อมเป็นของผู้อื่น แม้ว่าตระกูลฉินเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูง แต่พวกมันมิมีคุณสมบัติกระทำได้ ตรงกันข้ามกับผู้คนอื่นๆ ตำแหน่งที่นั่งชนชั้นสูงล้วนถูกจับจ้องมาดหมายจากผู้อื่นในแต่ละวัน
การต่อสู้ระหว่างอู๋เซียงกับจางเซียนนั้นเป็นตัวอย่างชัดเจน ดูราวว่าเป็นเรื่องขัดแย้งกันปกติแต่ในความเป็นจริงเบื้องหลังมันเป็นการต่อสู้เพื่อเกียรติยศและผลประโยชน์
และเหตุการณ์ลักขโมยชุดเอี๊ยมก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง หากคนเหล่านั้นทำสำเร็จ อู๋เซียงย่อมมีมลทินเรื่องความผิดมหันต์นี้ หากมิตายชีวิตทั้งหมดของมันนั้นก็เหมือนกับถูกทำลายไปแล้ว
ชายหนุ่มมิรู้สึกย่อท้อ ถึงแม้มันถูกกลั่นแกล้งและความเป็นต่อทั้งหลายจะต่อต้านมัน ในทางตรงกันข้ามกลับได้รับแรงกระตุ้นและส่งเสริมความปรารถนาซึ่งถูกท้าทาย
บุรุษผู้ชาญฉลาดเคยกล่าวไว้ว่า หมื่นปีนั้นยาวนานเกินไป ดีที่สุดคือฉกฉวยทุกลมหายใจ
อู๋เซียงชอบคำพูดนี้ ดังนั้นเขาจะมิยอมเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ ฝึกฝนยกระดับจิตวิญญาณของตนเองอย่างเคร่งครัด
ในชีวิตก่อนเขาฝึกฝนวิชาการต่อสู้แบบโบราณซึ่งมาจากความสนใจและการแสวงหา แต่ในโลกนี้สิ่งแวดล้อมช่างโหดร้ายนัก วิชาการต่อสู้นั้นย่อมต้องฝึกฝนเพื่อช่วยชีวิตตนเองและอยู่รอดภายในโลก!
ชายหนุ่มฟื้นคืนในโลกประหลาดด้วยความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าย่อมฝึกฝนวิชาซึ่งมีอยู่จากครั้งก่อน บรรพบุรุษของอู๋เซียงได้ออกท่องเดินทั่วโลกและศึกษาคัมภีร์วิชาการต่อสู้ในโลกมามากมาย ความทรงจำภายในสมองของเขาเวลานี้ราวกับมหาคัมภีร์วิชาว่าด้วยต่อสู้
สถานการณ์ของสำนักล้วนโกลาหลวุ่นวายนักที่มิอาจหาความสงบได้ ทางด้านของอู๋เซียงนั้นก็ได้โต้แย้งกับผู้อื่นขณะที่มันกำลังฝึกฝนอย่างหนัก มิสามารถคาดเดาได้ว่าตัวมันเองเริ่มฝึกตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิกระทั่งสิ้นฤดูกาล จากนั้นก็ฝึกฝนจนหมดสิ้นวสันต์
ชั่วพริบตาเป็นเวลามากกว่าห้าเดือนแล้วที่เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกนี้
มันมีประสบการณ์อันน่าวิเศษซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาห้าเดือนมานี้
ปัจจุบันอู๋เซียงมิได้เติบโตมากนัก แต่กล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกายมันบรรลุข้อจำกัดของกำลังพื้นฐานแล้ว
ทักษะการต่อสู้อันไร้พลังใดๆเมื่อแสดงออกมามันกลับมีพลังความรุนแรงแม่นยำ เต็มไปด้วยความชัดเจนเมื่อเขาใช้มัน
สิ่งที่ดีกว่าคือหลอดโลหิตของมันรวมตัวกันเหนียวแน่นหลังจากถูกทำให้หนาขึ้นแล้ว กล้ามเนื้อร่างกายล้วนได้มาถึงขั้นตอนการผลัดเปลี่ยนหากได้รับขัดเกลา
นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการสร้างกำลังแก่นแท้
แม้ว่านี่จะมิค่อยประสบความสำเร็จมากนักหากเทียบกับชีวิตที่ผ่านมา เป็นเพียงขั้นตอนที่สองแต่ก็นับว่าเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับชายหนุ่มที่ฟื้นขึ้นมาเพียงห้าเดือน
เขาบรรลุเป้าหมายด้วยด้วยการฝึกฝนอย่างหนักในแต่ละวัน ทำให้หวนนึกถึงการฝึกฝนอย่างหนักในชีวิตเก่าความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่ารื่นรมย์และยอดเยี่ยมยิ่งนัก
แต่ละวันตัวมันได้บรรลุผลลัพธ์และรุดหน้าไปเรื่อย สำหรับนักสู้นี้ย่อมเป็นข่าวอันน่าตื่นเต้นที่สุด
ในคืนนั้น อู๋เซียงนั่งอยู่บนพื้นเสื่อ ควบคุมลมหายใจก็พลันรู้สึกถึงกระแสพลังซึ่งวิ่งผ่านเข้ามาภายในเส้นเลือด มันบีบอัดและส่งนกระแสพลังงานนี้ไปรอบตามเส้นโลหิตของมัน
เขารับรู้ว่านี่คือกำลังแก่นแท้ ความแข็งแกร่งภายใน!
ผลลัพธ์ที่รอคอยหลังฝึกฝนอย่างหนัก ในที่สุดมันก็มาเคาะประตูเสียที
สุดยอดของกำลังพื้นฐานภายนอกย่อมนำไปสู่ขั้นตอนการสร้างสรรค์ตามธรรมชาติของกำลังแก่นแท้! คำกล่าวของกฎแห่งการฝึกฝนมิใช่เรื่องหลอกลวงทั้งหมด
ในอดีตการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ภายนอกจะไม่สามารถทำให้ฝึกฝนความแข็งแรงภายในได้ อย่างไรก็ตามกฎการฝึกฝนล้วนกำหนดให้ต้องฝึกสร้างกล้ามเนื้อและหลอดโลหิตให้อยู่ในระดับเหมาะสม จนถึงจุดสูงสุดของวิชาการต่อสู้พื้นฐาน ภายหลังจากนั้นจึงสามารถสร้างความแข็งแรงภายในได้
นั่นแปลความได้ว่ามีกระบวนการฝึกฝนมาเป็นเวลานานแล้วเมื่อต้องการฝึกฝนพลังภายนอกสู่ภายใน
มิว่าความแรงทางร่างกายของท่านจะดีสักเท่าไรแต่มันก็เป็นเพียงแค่ขั้นตอนของกำลังพื้นฐานเท่านั้น และเมื่อได้สร้างความแข็งแกร่งภายในแล้วย่อมแสดงว่าท่านได้เข้าสู่ขั้นตอนของกำลังแก่นแท้!
ขั้นตอนกำลังแก่นแท้นั้นเป็นเครื่องหมายแสดงระดับสูงขึ้นของนักสู้ในโลกนี้ อย่างไรก็ตามมันมีถึงเก้าขั้นตอนในระดับของกำลังแก่นแท้ และเขาเพียงก้าวถึงขั้นตอนแรกเท่านั้น
แม้นว่าตามจริงหากเทียบกับระดับนี้ ชายหนุ่มยังคงมีประสบการณ์ในอดีตและบรรดาคัมภีร์วิชาการต่อสู้ซึ่งหาได้ยากบรรจุอยู่ภายในสมองของมันมหาศาล
มันเชื่อว่าทันทีเมื่อเข้าสู่ระดับกำลังแก่นแท้จะมิปีนป่ายบันไดตามขั้นตอนเช่นเดียวกับนักสู้ผู้อื่น ด้วยคัมภีร์และประสบการณ์ต่อสู้ทำให้มันหวังว่าจะสามารถกอบกู้ฟื้นคืนความแข็งแกร่งเจ็ดหรือแปดส่วนภายในสามหรือสี่ปี!
หลังจากมันได้มาถึงขั้นตอนสำคัญเช่นเดียวในโลกเก่า ระดับความยากลำบากย่อมลดลงตามธรรมชาติเมื่อมันฝึกฝนปฏิบัติซ้ำขั้นตอนของการฝึกฝน มันจำเป็นต้องตรวจสอบวิธีการซึ่งจะนำไปตามเส้นทางตรงแทนที่จะเดินไปทางอ้อม
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมการฝึกฝนนี้ยังดีกว่าการฝึกในโลกก่อนอีกด้วย!
เขาได้สร้างภาพมายาให้เกิดความทะเยอทะยาน ยามเมื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่งในชีวิตก่อนได้และก็จะมีโอกาสท้าทายอาณาจักรที่มิเคยเข้าถึงได้ก่อนหน้าได้
ด้วยการสร้างสรรค์กำลังภายในซึ่งสามารถเข้าสู่ระดับกำลังแก่นแท้ได้ ด้วยหลากหลายคัมภีร์วิชากำลังภายในอันมีเอกลักษณ์จากโลกเก่าของมันจะถูกใช้ให้เป็นประโยชน์
มีหนังสือคัมภีร์มากมายให้มันเลือก วิชาของบุรุษเพศอันแข็งแกร่งสุริยาสาดแสง วิธีการพลิกแพลงพลิ้วไหวเฉกเช่นอิสตรีเขตแดนอนธการและวิชาว่าด้วยการผลัดเปลี่ยนกระดูก วิชาทรงพลังมารชิตอย่างแดนสนธยารวมถึงวิชาปฐพีสีนิลซึ่งสามารถใช้กำลังภายในของผู้อื่นใช้เป็นของตนได้
อู๋เซียงมิรีบร้อนเรียนรู้วิชาเหล่านี้เป็นเพราะเขารู้หลักการหากรีบร้อนผลที่ได้ย่อมมิสวยงามนักมันเกินกว่าที่จะสามารถจิตนาการได้ทีเดียว ในความเป็นจริงในบรรดาวิชาการต่อสู้ซึ่งหายากเช่นนี้ตัวมันได้ฝึกฝนเพียงสุริยาสาดส่องอย่างเดียว มิเคยฝึกปรือวิชาอื่นแม้ว่าจะจดจำมันไว้ในศีรษะก็ตาม
ด้วยพื้นฐานเก่าของมัน เห็นได้ชัดว่าสุริยาสาดแสงย่อมเป็นตัวเลือกแรก
เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งพละกำลังอันยอดเยี่ยมด้วยพลังร้อนแรง สุริยาสาดแสงจึงแข็งแกร่งยิ่งนัก มิมีธาราและเพลิงใดๆเป็นภัยอันตราย พลังนี้ช่วยป้องกันมีดดาบและอาวุธปืนทุกชนิด!
นี่คือบทสรุปของวิชาสุริยาสาดแสง ภายหลังจากบรรลุได้สำเร็จ
ยังมีบทสรุปอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งมีความหมายอย่างไม่น่าเชื่อ
หากศัตรูแข็งแกร่งข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้น หนึ่งแสงเจิดจรัสพลังอำนาจการระเบิดของดวงตะวัน นำไปสู่รัตติกรกลางแม่น้ำชลาลัย มิว่าเหล่าศัตรูจะเข้มแข็งและอาจหาญเพียงใดข้าจักยืนหยัดเหมือนวานรยักษ์!
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบทสรุปขั้นสุดท้ายของวิชาสุริยาสาดแสง มันถูกเขียนไว้หน้าแรก คำเหล่านี้ดูเพียงเผิน วิธีเช่นนี้เต็มไปด้วยพลังอำนาจเป็นเส้นทางของความแข็งแกร่งยิ่งยืนนาน ใช้พลังอันบริสุทธิ์เอาชนะอีกพลังหนึ่ง แสวงหาแรงผลักดันและพลังอำนาจสูงสุด
พลังอำนาจดวงตะวันและพลังอันจะนำรัตติกรสู่แม่น้ำชลาลัย ข้าจักยืนหยัดเพียงผู้เดียวเฉกเช่นวานรยักษ์และเสาะหาแรงผลักดันอำนาจสูงสุดด้วยตนเอง!
error: Content is protected !!