MPE บทที่ 7 ลิลลี่สีเลือด
แปลโดย iPAT
ความสามารถในการต่อสู้ไม่ใช่จุดเด่นของผู้ฝึกสอนสัตว์อสูร แม้มันจะพัฒนาขึ้นในเวลาต่อมา มันก็เป็นเพียงความสามารถในการเอาชีวิตรอดเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วในการต่อสู้จริงผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรก็ต้องพึ่งพาสัตว์อสูรของพวกเขาเป็นหลัก
จำนวนสัตว์อสูรที่มนุษย์สามารถสร้างพันธสัญญาเลือดได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามเมื่อสัตว์อสูรของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น จิตวิญญาณของผู้ฝึกสอนก็จะยกระดับขึ้นเช่นกัน นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาสามารถสร้างพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูรตัวใหม่ได้หลังจากนั้น
กล่าวอีกอย่าง ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน พันธสัญญาเลือดต้องการพลังงานทางจิตวิญญาณ แม้มันจะใช้เลือดในการสร้างพันธสัญญา แต่เลือดก็เป็นเพียงสื่อกลางในการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นจิตวิญญาณ
แน่นอนว่ามันเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสองฝ่าย หากผู้ฝึกสอนใช้ความรุนแรงกับสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง พวกมันก็จะต่อต้านขัดขื่น หากความไม่พอใจของพวกมันทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
‘บางทีฉันอาจสามารถสร้างพันธสัญญาวิญญาณกับสัตว์อสูรระดับต่ำหลายตัวและค่อยๆยกระดับพวกมัน…’ เกาเผิงลอบคิด
แต่เขาก็ต้องปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่สามารถทำเช่นนั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ หลังจากสร้างพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูร เขายังต้องเลี้ยงดูพวกมัน ทรัพยากรจำนวนมหาศาล เขาไม่สามารถจ่ายได้ในเวลานี้
เกาเผิงไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยความสามารถพิเศษของตนเพื่อเข้าร่วมกับองค์กรที่ทรงพลังบางแห่ง เหตุผล? ง่ายมาก เขาไม่ต้องการเป็นหนูทดลองทางวิทยาศาสตร์
“ทุกคนมาพร้อมหน้าหรือยัง? หัวหน้าห้องตรวจสอบเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วย” อาจารย์มู่หลานกล่าวหลังจากตามตันเฉียนจินขึ้นมาบนรถ
ตันเฉียนจินเป็นเด็กหนุ่มอ้วนเตี้ยและมีลักยิ้มอยู่บนแก้มทั้งสองข้าง เขาเป็นคนร่าเริงและเป็นมิตรกับทุกคน นอกจากนั้นเขายังมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง
“อาจารย์มู่หลาน ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว ผมทำเครื่องหมายหน้ารายชื่อของทุกคนที่ขึ้นรถมาแล้ว” ตันเฉียนจินส่งกระดาษรายชื่อนักเรียนให้กับอาจารย์หญิง
อาจารย์มู่หลานพยักหน้าก่อนที่เธอจะยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่างและตะโกน “ผู้อำนวยการ นักเรียนของเรามาครบแล้ว พวกเราจะออกไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากนั้นเธอยังพยักหน้าอีกครั้งและทิ้งตัวลงบนเก้าอี้คนขับรถ
นั่งอยู่ด้านหน้าสุด ตันเชียนจินอ้าปากค้างขณะที่มู่หลานเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งส่งรถบัสคันโตวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนเธอจะมีความเชี่ยวชาญในการขับขี่ที่ไม่ธรรมดา
ท่อไอเสียส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายเมื่อรถบัสเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ด้านหลังยังมีรถบัสสีน้ำเงินสองคันตามมาอย่างใกล้ชิด รสบัสทั้งหมดเป็นสีน้ำเงินที่มีหนามแหลมสีเงินอยู่รอบๆ พวกมันเป็นรสบัสของบริษัทคุ้มกันบลูชิลด์
ในเวลาไม่กี่นาทีพวกเขาก็มาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งที่ยังอยู่ในเขตตัวเมือง
“เอาล่ะ พวกเรามาถึงแล้ว ทุกคนลงไปได้”
ด้วยเสียง “หวืด” ประตูรถด้านหน้าและด้านหลังเปิดออกในเวลาเดียวกันทำให้แสงแดดพุ่งเข้ามาภายในรถบัสโดยตรง
“นี่…น่าตื่นเต้นจริงๆ ที่นี่คือชานเมือง มันใกล้เขตนอกเมืองมาก” เด็กอ้วนคนหนึ่งส่งเสียงอุทานด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่มีปัญหาในการแสดงออกที่เหมาะสม เขาถูมือทั้งสองข้างและกล่าวต่อ “มัน…มันน่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว อา…” แต่ในจังหวะนี้เด็กผู้หญิงที่มัดผมทรงหางม้าและสวมแว่นตาผู้หนึ่งกลับยกมือขึ้นตบศีรษะของเด็กอ้วนอย่างกะทันหัน “หลี่ซื่อกง หยุดเล่นตลกได้แล้ว”
เด็กอ้วนหลี่ซื่อกงตอบด้วยความโกรธ “หลี่หงตู อย่าให้มันมากเกินไปนัก หากไม่ใช่เพราะเธอเป็นพี่สาวของฉัน ฉันจะไม่…” แต่สายตาอันเย็นเยียบของหลี่หงตูทำให้หลี่ซื่อกงต้องหุบปากลงก่อนที่เขาจะค่อยๆกล่าวต่อเสียงเบา “ฉันผิดไปแล้ว มันเป็นความผิดของฉันเอง…”
ขณะที่เกาเผิงพยายามนำต้าซื่อลงจากรถ เสาอากาศบนศีรษะของมันหมุนไปรอบๆด้วยความกระวนกระวายกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สุดท้ายเกาเผิงก็ต้องใช้กำลังบังคับต้าซื่อด้วยการโยนมันลงไปจากรถบัส
ต้าซื่อเริ่มตื่นตระหนก มันเคลื่อนที่ไปรอบๆเกาเผิงและพยายามปีนขึ้นไปบนร่างกายของเขาราวกับเด็กน้อย อย่างไรก็ตามเกาเผิงปฏิเสธที่จะให้มันเกาะอยู่บนร่างกายของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เกาเผิงเคยเห็นต้าซื่อรู้สึกกังวลกับบางสิ่ง มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“แฮ่…” ทันใดนั้นเสียงคำรามของสัตว์อสูรบางตัวพลันดังขึ้นข้างหูของเกาเผิงราวกับคลื่นกระแทก
ได้ยินเสียงสายนี้ ต้าซื่อกลายเป็นโกรธเกรี้ยวและชูศีรษะขึ้นราวกับอสรพิษ
“ฟิ้ว…”
โดยไม่รีรอ ต้าซื่อทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังขณะที่มันพุ่งเข้ากัดต้นขาของวานรทมิฬด้วยความเร็วสูง
ใบหน้าของวานรทมิฬกลายเป็นน่าเกลียด
รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของไห่หลานหยูกลายเป็นแข็งค้างเมื่อเห็นวานรทมิฬถูกโจมตีโดยไม่คาดคิด
แต่ขณะที่เขากำลังจะโต้ตอบ เสียงที่เข้มงวดของอาจารย์มู่หลานชิงอี้กลับดังขึ้น “ทั้งสองคนหยุดเดี๋ยวนี้! อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ไห่หลานหยู ตอนนี้เธอมีสัตว์อสูรในการครอบครองแล้ว ในฐานะผู้ฝึกสอนสัตว์อสูร เธอต้องควบคุมสัตว์อสูรของตนไม่ให้มันสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น เกาเผิง เธอต้องทำให้แน่ใจว่าตะขาบน้อยของเธอจะไม่กัดผู้คนง่ายๆเข้าใจไหม?”
ทั้งสองถูกดุ แต่ชัดเจนว่าอาจารย์มู่หลานเอนเอียงไปทางเกาเผิงมากกว่า แน่นอนว่านี่เป็นเพราะผลการเรียนที่ดีของเขา
สุดท้ายวานรทมิฬก็ถูกเรียกตัวกลับอย่างไม่เต็มใจโดยเจ้านายของมัน นอกจากนั้นมันยังมองไห่หลานหยูด้วยสายตาไม่พอใจราวกับต้องการกล่าวว่า “ส่งฉันไปจัดการผู้ชายคนนั้นและเรียกฉันกลับหลังจากฉันถูกตะขาบเลวนั่นกัด นายเป็นเจ้านายแบบไหนกัน!?”
วานรทมิฬค่อนข้างฉลาด สติปัญหาของมันเทียบเท่ากับเด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบ แต่นั่นก็เป็นเหตุให้คนผู้หนึ่งสามารถเข้าใจอารมณ์ของมันได้อย่างชัดเจนด้วยการมองหน้าของมันและตอนนี้ใบหน้าของมันก็ยับย่นอย่างที่สุด
เกาเผิงมองวานรทมิฬและพบว่าข้อมูลของมันในส่วนของ [สถานะ] เปลี่ยนจาก สุขภาพแข็งแรง (หงุดหงิด) เป็น ถูกพิษ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย (หดหู่)
ตัวอักษรแสงสีแดงคำว่า พิษ กระพริบขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จึงเปลี่ยนเป็น ได้รับบาดเจ็บ ในที่สุด
…..
‘นี่คือทุ่งลิลลี่สีเลือดงั้นหรือ? เดิมทีมันคือลิลลี่แคระทั่วไป แต่หลังจากวิวัฒนาการ มันกลายเป็นลิลลี่สีเลือดที่มีคุณสมบัติทางยา มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในโดยเฉพาะจุดที่มีเลือดออก มันยังสามารถเต็มเลือดและกู้คืนอวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บ’ เกาเผิงก้มลงสำรวจพืชสีแดงที่อยู่บนพื้น
ลิลลี่แคระเป็นพืชที่พบเห็นได้ง่ายก่อนเกิดหายนะครั้งใหญ่ ผู้คนสามารถพบมันได้ทั่วไปตามริมถนน
ข้อมูลของลิลลี่สีเลือดอยู่ในตำราพฤกษากลายพันธุ์ที่นักเรียนมัธยมทุกคนจะต้องเรียนรู้
ไม่ว่าเมื่อใดความรู้ยังเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เสมอ แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปแต่การเรียนรู้ของมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง
วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยี
เทคโนโลยีเป็นเพียงผลลัพธ์ของวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์คือตรรกะที่ผ่านการวิจัยและทดสอบ มันคือภูมิความรู้ที่สามารถนำไปสร้างเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาและเป็นบางสิ่งที่ไม่เคยถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง