“รีบพูดเร็วเข้า” องค์รัชทายาทตรัสเร่ง
“หนูฉายไปสืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ คือ…คือ… เข้าไปในสำนักขุนนางสื่อราชสำนักยามเว่ย[1] และออกมาในยามเซิน[2] หนึ่งเค่อ[3] ประจวบกับ…ที่พวกเราอยู่ในจวนแม่ทัพพอดีพ่ะย่ะค่ะ” จางฝูไห่กล่าว
องค์รัชทายาทพยักพระพักตร์ “ข่าวลือที่บอกให้ปล่อยออกไปล้วนหยุดแล้วหรือไม่?”
“หนูฉายบอกให้พวกเขาไม่ต้องปล่อยข่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่…คงมีคนจำนวนไม่น้อยได้ยินเข้าแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ?” จางฝูไห่กล่าว
สีพระพักตร์ขององค์รัชทายาทดำทะมึน “ไสหัวออกไป เลี้ยงเสียข้าวสุกทั้งนั้น!”
“พ่ะย่ะค่ะๆๆ… หนูฉายจะออกไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ…” จางฝูไห่รีบขานรับและล้มลุกคลุกคลานออกไป
คาดไม่ถึงว่าจะถูกหรงหว่านซีจัดการอีกหนจนได้ เป็นเพียงสตรีนางหนึ่งเท่านั้น เหตุใดจึงยากกำราบถึงเพียงนี้?
“จางฝูไห่ไสหัวกลับมา!” ทันใดนั้นตะคอกเสียงดังเรียกจางฝูไห่ที่กำลัง “ไสหัว” ไปยังลานพระตำหนักเอาไว้
“พ่ะย่ะค่ะ!” จางฝูไห่รีบวิ่งกลับมาทันที
“เจ้าจงพาผู้ที่ไว้ใจได้จำนวนหนึ่งไปจับตาดูเอาไว้ หากมีคนเอ่ยถึงเรื่องเปิ่นกงกับคุณหนู เจ้าจงรีบจัดการให้เปิ่นกงทันที อย่าให้พวกเขาเล่าต่อกันไปเข้าใจหรือไม่?” องค์รัชทายาทตรัส
“พ่ะย่ะค่ะๆๆ…” จางฝูไห่ขานรับติดต่อกันก่อนจะรีบออกไป
แม้องค์รัชทายาทจะจัดการได้ค่อนข้างทันท่วงที ทว่าข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปใช่ว่าบอกให้หยุดก็หยุดได้ทันทีเสียเมื่อใด?
ภายในตลาดมีผู้คนมากมายขนาดนั้น ประเพณีของแคว้นเฟิงเปิดกว้าง ไม่จำกัดการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน การที่ประชาชนวิจารณ์เหล่าองค์ชายหรือองค์หญิงล้วนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนข่าวลือเรื่องนี้ไม่เกินสองสามวันก็แพร่กระจายออกไปอยู่ดี
เช้าตรู่วันนี้ ภายในพระราชสำนักส่งข่าวมาว่าหวงกุ้ยเฟย[4] เชิญคุณหนูให้ไปเข้าเฝ้า
ครั้นหรงหว่านซีได้ยินว่าเซิ่นหวงกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาของเฉินอ๋องให้คนมาเชิญกลับไม่ประหลาดใจสักนิด เพราะหลังได้ฟังข่าวลือที่องค์รัชทายาทปล่อยออกมา นางก็รู้แล้วว่าต้องมีวันนี้
แม้ข่าวลือนี้จะไม่ได้โหมกระพือเท่าใด ทว่าเรื่องราวในใต้หล้า โดยเฉพาะเรื่องในเมืองหลวงแห่งนี้ ขอเพียงคนในราชสำนักนึกสนใจ ย่อมสามารถสืบเสาะหาข้อเท็จจริงได้อย่างง่ายดาย
หรงหว่านซีเปลี่ยนไปสวมชุดกระโปรงสีชมพู นำของว่างที่เมื่อวานตั้งใจทำกับมือไปด้วยจำนวนหนึ่งพร้อมกับพาชูเซี่ยเข้าวัง
“คุณหนูสวมชุดกระโปรงสีชมพูแล้วงามจริงๆ เจ้าค่ะ” ภายในรถม้า ชูเซี่ยเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ทำให้คุณหนูแลดูอ่อนโยนขึ้นตั้งเยอะเลยเจ้าค่ะ!”
“เจ้าก็ช่างรู้จักพูดเอาใจข้าเสียจริง” หรงหว่านซีหัวเราะ
หวังว่าพระสนมเอกคงจะพอพระทัย พระสนมเอกเซิ่นเหยาหมิ่นคือบุตรสาวของพระราชครูของฮ่องเต้ มีความรู้รอบด้าน กิริยาอ่อนหวานและงามเพียบพร้อม นางคงจะชอบลูกสะใภ้ที่สง่างามและอ่อนโยน
หน้ารถม้าของหรงหว่านซีมีรถม้างามหรูหราหยุดอยู่หน้าประตูวังทางทิศเหนือ
ทว่าสารถีกลับไม่รออยู่ที่นี่ เพราะได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายให้รีบนำรถม้ากลับจวน
เฉินอ๋องมุ่งหน้าไปยังตำหนักอีหลานเพื่อพบหมู่เฟย[5] เมื่อพบหมู่เฟยจึงกล่าวแสดงความเคารพ “เอ๋อร์เฉิน[6] คำนับหมู่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะปักผ้าขนาดเล็กภายในห้อง เมื่อได้ยินเสียงนี้จึงรีบวางเข็มในมือ
เมื่อปีที่แล้วนางพึ่งจะฉลองวันเกิดอายุครบสี่สิบปี ทว่าใบหน้ายังคงงดงามยิ่งนัก และดูไม่ต่างจากสตรีออกเรือนอายุสามสิบผู้หนึ่ง
กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่องรอยบนใบหน้างดงามนี้แม้เพียงเศษเสี้ยว ทว่าตลอดยี่สิบปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ กลับสั่งสมจนกลายเป็นความน่ายำเกรง บ่มเพาะจนกลายเป็นความอ่อนโยนแต่เยือกเย็นและจิตใจที่ไม่ไหวหวั่นต่อคลื่นลมใดๆ ไม่ว่ายามกลัดกลุ้มหรือยินดี ล้วนมีความอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหญิงงามในวัง เหล่าสนมอายุน้อยในวังหลวงจำนวนหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าและเสน่ห์ของนางก็ได้แต่พากันถอนหายใจออกมา
นางไม่ยินดียินร้ายต่อการเปลี่ยนผันภายในวัง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรชายของนางกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางรีบเดินออกมาจากในห้อง รอยยิ้มงามประดับบนใบหน้า ประคองบุตรชายของนางลุกขึ้นและเอ่ยด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เจ้าเด็กผู้นี้ ผ่านไปนานวันเหลือเกินกว่าจะโผล่มาสักหน มัวแต่เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก คาดว่าใกล้จะลืมแม่เสียแล้วกระมัง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เอ๋อร์เฉินคิดถึงหมู่เฟยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เกรงว่าจะเป็นการรบกวนหมู่เฟย จึงไม่เข้ามาในวังหลวง นอกจากนั้นเอ๋อร์เฉินก็เป็นองค์ชายที่เข้าสู่วัยเติบใหญ่แล้ว หากแวะเวียนมายังวังหลังของเสด็จพ่อบ่อยมากนักคงไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินอ๋องไม่ได้ตรัสเพื่อให้หมู่เฟยดีพระทัย แต่เป็นความจริงที่เขากังวล เขารู้ว่าหมู่เฟยคิดถึงเขา แน่นอนว่าเขาก็คิดถึงหมู่เฟยเช่นกัน เพียงแต่กฎระเบียบในวังหลวงเข้มงวดเกินไป ผู้ไม่ประสงค์ดีในวังหลวงมีมากมายถึงเพียงนี้ เขาไม่อาจอยู่ข้างกายหมู่เฟยได้ตลอด จำต้องไตร่ตรองเรื่องพวกนี้ให้รอบคอบ เพราะไม่อยากให้ท่านแม่มีภัย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนที่อยู่นอกวังเข้ามาช่วยเหลือไม่ทันการ
หวงกุ้ยเฟยตรัสพลางแย้มสรวล “เหตุผลนี้เองหรือ… มา ลองชิมขนมสูตรใหม่ในวังหลวงของแม่”
“วันนี้หมู่เฟยให้คนไปเรียกว่าที่ลูกสะใภ้เข้าวังใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เฉินอ๋องเอ่ยถามพลางเดินตามหมู่เฟย
“เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยรึ?” หวงกุ้ยเฟยตรัส “เหตุใดเจ้าจึงรู้ข่าวไวถึงเพียงนี้? ทั้งที่เรื่องพึ่งเกิดเมื่อเช้าตรู่”
“แค่บังเอิญเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เฉินอ๋องรับขนม “เดิมทีเอ๋อร์เฉินอยากจะนัดพบกับคุณหนูตระกูลหรง จึงส่งเด็กรับใช้นำความไปบอก เสี่ยวจวินฉลาดยิ่งนัก พึ่งจะออกจากประตูจวนและเห็นขันทีมุ่งหน้าไปทางจวนแม่ทัพ เอ๋อร์เฉินถึงรู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพระสนมเอกได้ยินเช่นนี้จึงคิดว่าบุตรชายของตนถือสาเรื่ององค์รัชทายาทกับคุณหนูตระกูลหรง จึงอดตรัสด้วยความห่วงใยไม่ได้ “เฉินเอ๋อร์ หมู่เฟยรู้ว่าเจ้าไม่เคยขาดแคลนหญิงงาม นี่มิใช่ความผิดใหญ่หลวงอะไร เพียงแต่ต้องรู้จักขอบเขตเป็นพอ เจ้าอย่าทำเป็นไม่ใส่ใจต่อชื่อเสียงพระชายาของตนเพียงเพราะมีหญิงงามข้างกายเป็นจำนวนมากเด็ดขาด เจ้าจะไม่ชอบพอนางก็ไม่เป็นอะไร แต่เจ้าห้ามปล่อยเลยตามเลยเรื่องที่นางไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์เพราะเหตุผลนี้”
“หมู่เฟยตรัสถึงเรื่องข่าวลือในหมู่ประชาชนในระยะนี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เฉินอ๋องเอ่ย “เรื่องนั้นจะเป็นความจริงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ขณะองค์รัชทายาทเสด็จไปเยี่ยมเยียนที่จวนแม่ทัพ เอ๋อร์เฉินยังเห็นคุณหนูหรงในตลาดอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” พระสนมเอกประหลาดพระทัยเล็กน้อย ครั้นมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาจึงเข้าพระทัยทันที
“หากเป็นเช่นนี้ก็ดี” พระสนมเอกตรัส “ทว่าถึงอย่างไรหมู่เฟยก็ต้องพบว่าที่ลูกสะใภ้ผู้นี้อยู่แล้ว”
“หมู่เฟยพ่ะย่ะค่ะ” จู่ๆ เฉินอ๋องก็เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “จะดีหรือไม่หากหมู่เฟยทรงลองทดสอบนาง แสร้งทำเป็นไม่รู้ความจริงและดูว่านางจะรับมืออย่างไร? ต่างบอกว่าคุณหนูหรงเป็นสตรีมีพรสวรรค์ล้ำเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมิใช่รึ? หมู่เฟยไม่ทรงอยากลองทอดพระเนตรหรือว่านางได้สมญานามปลอมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ขณะกล่าว นางกำนัลหน้าประตูได้เจ้ามากราบทูลว่า “เหนียงเหนียง[7] คุณหนูตระกูลหรงเดินทางมาถึงแล้วเพคะ”
“หมู่เฟยทรงถามไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ เอ๋อร์เฉินจะไปรอหลังม่านกั้นภายในห้องพ่ะย่ะค่ะ” เฉินอ๋องกล่าว
พระสนมเอกส่ายพระเศียรพลางแย้มสรวล คิดว่าบุตรชายกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผล จะแต่งภรรยา หากเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมจริงย่อมไม่พลาดเรื่องมรรยาทอย่างแน่นอน
หรงหว่านซีให้ชูเซี่ยรออยู่หน้าประตู นางถือกล่องไม้สำหรับใส่อาหารเดินเข้ามาในห้อง พระสนมเอกประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ประทับ หรงหว่านซีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองและเอาแต่ก้มหน้า
“เฉินหนวี่แซ่หรงคำนับเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงเพคะ…” หรงหว่านซีวางกล่องไม้ใส่อาหารลงบนพื้นและทำความเคารพโดยการแนบศีรษะลงกับพื้น
พระสนมเอกทรงพอพระทัยกับท่าทียามพูดจาและการกระทำตั้งแต่เดินเข้ามาจนถึงยามนี้ของหรงหว่านซียิ่งนัก ทว่าพระพักตร์กลับไม่แสดงออกแม้แต่นิด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตรัสอย่างราบเรียบ “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียงเพคะ” หรงหว่านซีถือกล่องไม้ใส่อาหารและลุกขึ้นยืน
“เจ้าถือสิ่งใดไว้ในมืองั้นรึ?” พระสนมเอกตรัสถามด้วยน้ำเสียงฟังดูเอื่อยเฉื่อยเล็กน้อย
[1]ยามเว่ยคือเวลา 13.00-14.59 น.
[2]ยามเซินคือเวลา 15.00-16.59 น.
[3]หนึ่งเค่อเท่ากัน15นาที หนึ่งชั่วโมงแบ่งออกเป็นสี่เค่อ
[4]หวงกุ้ยเฟยคือพระอัครเทวีผู้สูงศักดิ์ในองค์จักรพรรดิหรือพระมเหสีรอง มีสองตำแหน่งและมีอำนาจในวังหลังรองจากฮองเฮาเพียงผู้เดียว ลำดับตำแหน่งพระสนมคือ หวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย เฟย ผิน กุ้ยเหริน ฉางจ้าย ตาอิ้ง
[5]หมู่เฟยเป็นคำที่พระโอรสใช้เรียกพระสนมผู้เป็นมารดา หมู่แปลว่ามารดา เฟยแปลว่าพระสนม หากเป็นฮองเฮาจะเรียกว่าหมู่โฮ่ว โฮ่วแปลว่าฮองเฮา
[6]เอ๋อร์เฉินคือคำใช้แทนตัวของพระโอรส เอ๋อร์แปลว่าบุตร เฉินคือคำเรียกแทนตน
[7]เหนียงเหนียงใช้เรียกพระสนมและฮองเฮา
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “หฤทัยจอมใจจักรพรรดิ”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/5236
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)