เมื่อคนของสำนักอสรพิษสวรรค์ได้ฟังคำพูดของผู้เฒ่าทรงผมนกกระเรียน ต่างเจ็บจี๊ดในใจกันเป็นแถบๆ ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าก็พูดอะไรตอกกลับไปไม่ได้ คนที่อยู่ใกล้ๆ นำยาวิเศษมาทำแผลให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นนานแล้ว เมื่อเห็นพลังทำลายล้างของวิชาหมัดเมื่อสักครู่ ก็ไม่มีใครกล้าไปขวางทางเด็กหนุ่มชุดม่วงคนนั้นอีก และบุคคลที่อยู่ด้านหลังของหนุ่มน้อยคนนั้นก็เป็นยอดฝีมือที่ไม่คู่ควรไปมีเรื่องด้วย
“ภูเขาลูกนั้นมีสิ่งอัศจรรย์อันใดกัน มาเพื่อการแย่งชิงความเป็นใหญ่จึงมาหรือ? ดูท่าครั้งนี้พวกเรามีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งแล้ว”
กวังโถวจงจ้องมองยอดเขาที่สูงตระหง่าน คิ้วขมวดเล็กน้อย
เมื่อตู้เซ่าฝู่ปีนถึงยอดเขา ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว สตรีงามชุดเรียบคนนั้นยังคงนั่งขัดสมาธิพร้อมกับตาสองข้างปิดสนิท
ตู้เซ่าฝู่ไม่ได้พูดอะไร รีบจัดการนำร่างอสูรที่ลงไปหามามาปิ้ง เติมพลังลงท้องเพื่อดับความหิว เมื่อกลิ่นหอมหวนของเนื้อย่างที่สุกกำลังเข้าที่เริ่มโชย แม่นางคนสวยก็ไม่เกรงใจเช่นเดิม
หลังจากที่ตู้เซ่าฝู่กินอิ่มแล้ว ก็เริ่มทำสมาธิฝึกกระบวนวิชาลึกลับที่ได้มาจากแท่นหินศิลา เมื่อนำกระบวนวิชาลับนั้นมาเปรียบกับวิชาหมัดระบำคลื่นและหมัดคลื่นซัดสะท้าน พบว่ามีความซับซ้อนและลึกซึ้งมากกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
คำค่ำในวันนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงสงบเงียบมากเป็นพิเศษ ราวกับว่าอสูรที่อยู่บริเวณนั้นจรลีหนีไปตามกระแสของขบวนอสูรหมดแล้ว ทั้งเทือกเขาเข้าสู่สภาวะสงบเงียบ
เพียงแค่ความเงียบเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้รู้กังวล เงียบผิดปกติ นอกจากเสียงลมก็ไม่มีเสียงอื่น ราวกับว่าเป็นพื้นที่ร้าง ไร้เสียงของสิ่งมีชีวิต เงียบนิ่งไร้การเคลื่อนไหวเหมือนเป็นที่แห่งความตาย มีเสียงเพียงเสียงลมที่พัดโชยผ่านป่าเขา ทำให้เกิดเสียงใบไม้ไหวและใบไม้กระทบกัน
ความเงียบเช่นนี้ดำรงต่อไปจนถึงเวลาค่ำมือเกือบใกล้รุ่งอรุณ ทันใดนั้น บนยอดเขา สตรีงามที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นพรึบ ลุกขึ้นเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อย จ้องมองไปยังหุบเขาลึกที่มีแสงแห่งจันทราสะท้อนลงมา
“ช่างแปลกเหลือเกิน ผิดปกติมาก”
บริเวณรอบยอดเขาสูงสุดในเทือกเขา สำนักกระเงี้ยวนิล สำนักอสรพิษสวรรค์ ผู้เฒ่าทรงผมนกกระเรียนมองไปยังแนวเขาลึกด้านใน ทุกคนต่างรู้สึกถึงพลังแห่งความอันตราย ขนลุกซู่ด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัวเล็กน้อย
ท่ามกลางแสงแห่งจันทราที่สาดส่อง ณ ขุนเขาพงไพรที่อยู่ห่างไกล เป็นหุบเขาที่มีเนินเขาหลายลูกร้อยเรียงเป็นแนวยาว ยอดเขามีสูงมีต่ำเป็นคลื่น แนวภูผามั่นคงแข็งดั่งเป็นกำแพง และปกคลุมด้วยป่าดิบทึบ ที่บดบังแสงนภาส่องยังพื้นพิภพ
ในที่สุดก็หมดเวลาจำศีลของเจ้าแล้ว” บริเวณหุบเขาลึก มีเสียงผู้หญิงที่น้ำเสียงราบเรียบดังออกมา เป็นเสียงแหลมกังวานและฟังดูสดใส
“นั่นเป็นเพราะเป็นเวลาที่เจ้าอ่อนแอที่สุด เจ้าในตอนนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว” เสียงเข้มทุ้มดังขึ้น ทำนองเสียงเป็นคลื่นสงบ ทว่าเมื่อต้นเสียงดังมาจากในหุบเขาอสุรกายด้านในลึก จึงกึกก้องทรงพลังดังเสียงสายฟ้า
“นั่นเพราะความอดทนของเจ้าถึงขีดสุดแล้ว เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักหนาว่าตอนนี้คือเวลาที่อ่อนแอที่สุดของข้า” เสียงผู้หญิงน้ำเสียงแหลมแต่สดใสดังขึ้น
“ตึงโครม!”
จากนั้นในเทือกเขาลึกก็มีเสียงบางอย่างกระทบกันจนเกิดเป็นเสียงดังกังวาน เป็นเสียงโครมราวกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ป่าไม้ในเขาสั่นเป็นคลื่น ราวกับยอดเขาจะสั่นจนพังทลายลง ดวงจันทร์ยังคงแต่งแต้มอยู่กลางท้องฟ้า มีเมฆลอยปกคลุม ราวกับมองเห็นฟ้าแลบฟ้าร้องขึ้นบนนภา ทว่าบางครั้งจะเห็นเป็นแสงไฟสีม่วงพุ่งทะยานฟ้า บางคราก็เป็นแสงสีทอง
“เกิดสงครามใหญ่ขึ้นแล้ว”
“สงครามการชิงความเป็นใหญ่ระหว่างผู้ที่เคยอยู่ก่อนกับผู้ที่ท้าชิงเริ่มขึ้นแล้ว เป็นสงครามระหว่างใครกับใครกันนะ”
“……”
กวังโถวจง เจ้าสำนักถงเสา ผู้เฒ่าทรงผมนกกระเรียนและคนอื่นๆ ที่อยู่บนยอดเขาจ้องมองด้วยสีหน้าตกตะลึง พวกเขามองเข้าไปในบริเวณป่าลึกกันตาไม่กะพริบ บริเวณนั้นทั้งฟ้าและดินเขย่าสนั่นหวั่นไหว รุนแรงขนาดว่าเหมือนกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา มีรัศมีพลังที่มีอักษรยันต์ไหลวนเวียนรอบห้วงนภาปกคลุมไปทั่วฟ้าและบดบังแสงตะวันที่ใกล้จะลอยขึ้นมาทักทายโลก ทุกคนทั้งหลายที่มองอยู่ไกลๆ ต่างตื่นเต้นกันจนใจเต้นตุบๆ
สงครามใหญ่ครั้งนี้ ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วยาม นานจนฟ้ามืดกลายเป็นฟ้าสว่าง
“แกว๊ก!”
เสียงวิหคร้องดังสะเทือนขึ้นมา เสียงแหลมดังสนั่นสะเทือนทั่วฟ้า สิ่งที่ปรากฏอยู่หน้าทุกคนคือวิหคยักษ์ตัวหนึ่งที่มีเปลวเพลิงสีม่วงห่อหุ้มทั่วร่าง เห็นเป็นลูกเพลิงสีม่วงยักษ์กำลังลอยขึ้นมาบังผืนท้องฟ้าแทนพระอาทิตย์
“แกว๊ก!”
ด้านหลังนกยักษ์ที่มีเพลิงสีม่วงห่อหุ้มร่าง ก็มีวิหคยักษ์ที่ปีกเป็นประกายสีทองอร่าม มันมีขนาดหลายร้อยจั้ง กำลังบินขึ้นบนท้องฟ้าตามตัวแรกมา ปีกสองข้างสยาย จนบดบังรัศมีดวงอาทิตย์ ทั้งร่างของมันมีแสงทองจ้า สองปีกกระพืออย่างไว ทำให้อากาศไหลเวียนราวกับจะทำให้เกิดพายุหมุน ดวงตาคมดั่งตาของเหยี่ยวของมันดูแล้วน่าหวาดกลัว มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าพุ่งตามวิหคเพลิงตัวก่อนหน้าไป (1 จั้ง = 333.33 ซม.)
วิหคยักษ์เปลวเพลิงราวกับไม่สามารถสู้ชนะวิหคยักษ์ปีกประกายทองได้ บินเซไปเซมา
วิหคยักษ์ปีกประกายทองยังคงบินตามไปต่อติดๆ นกยักษ์สองตัวผลัดกันบินเดินหน้าถอยหลังโฉบโจมตีใส่กัน บริเวณที่พวกมันบินผ่านก็ถูกลูกหลง ต้นไม้ก้อนหินหักพังจนเป็นกองเศษหินท่อนไม้เลอะเทอะระเนระนาด
“ผู้ที่อ้างตนเป็นจ้าวแห่งเทือกเขาอสุรกาย ถูกวิหคยักษ์ปีกประกายทองเอาชนะไปได้หรือนี่”
“เหมือนว่าเคยได้ยินวิหคยักษ์ปีกประกายทองในตำนาน ในเทือกเขาอสุรกายมีสายเลือดอสูรวิหคที่แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“เรื่องราวไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย” ……
กวังโถวจง เจ้าสำนักถงเสา ผู้เฒ่าทรงผมนกกระเรียนและคนอื่นๆ ที่อยู่บนยอดเขาจ้องด้วยความตะลึงงัน ผู้ที่พลังต่ำไม่เพียงพอ แม้จากที่ไกล ก็ทนพลังของสุดยอดอสูรที่พลุ่งพล่านมากจนไม่อาจคาดเดาขีดสุดได้ ก็ยังต้องหมอบลงกับพื้น
“นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะมีสายเลือดแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วย น่าประหลาดใจจริงๆ”
บนยอดเขา สตรีงามชุดเรียบมองดูสงครามครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ข้างหน้า สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
“ตึงๆ……”
บนท้องฟ้าจากที่ไกล ในที่สุดวิหคยักษ์ปีกประกายทองก็ตามวิหคยักษ์เปลวเพลิงม่วงทัน ปีกทองอร่ามของมันกระพืออย่างแรงเพื่อสร้างพล้งโจมตี ปีกของมันตั้งเป็นแนวนอน แสงทองส่องระยิบระยับ จากนั้นอักษรยันต์น่าพิศวงนั้นก็เริ่มเปล่งแสง พลังสะเทือนฟ้าแห่งความน่ากลัวถูกปล่อยออกไป
เห็นได้ชัดว่าวิหคยักษ์เปลวเพลิงม่วงต่อกรด้วยไม่ง่าย มันกระพือปีกโจมตีกลับไป อักษรยันต์ลอยพุ่งออกมาพร้อมกับลูกเพลิงสีม่วงที่เดือดพล่านถูกปล่อยออกมารับพลังของวิหคยักษ์ปีกประกายทอง
นี่คือการต่อสู้แย่งชิงความเป็นที่หนึ่งของสองอสูรยักษ์ มีคลื่นอักษรยันต์ไหลเวียนทั่วฟ้าในขณะนั้น วิหคยักษ์ปีกประกายทองแผดเสียงร้องสนั่นทั่วฟ้า วิหคยักษ์เปลวเพลิงม่วงร้องดังกังวานไปไกลแสนไกล คลื่นพลังของทั้งสองกลืนบริเวณนั้นโดยรอบ ท้องฟ้ายามอรุณเกิดลมพัดแรงจนเห็นเมฆขยับชัดเจน ความรุนแรงนี้สามารถเขย่ากึกก้องห้วงนภาอันแสนกว้างใหญ่ !
ใต้เวหา บริเวณแนวขุนเขา ทุกอย่างถูกทำลายจนล้มเละระเนระนาด เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก ราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!
“ตึงโครม!”
ปฐพีสนั่นกึกก้องโครมคราม ราวกับมีอสูรปีศาจนับหมื่นวิ่งอาละวาด พลังรุนแรงเหลือล้น แนวเทือกเขาเกิดรอยแยกยาวไปไกลจนมิอาจเห็นปลายของมัน เหล่าพฤกษายักษ์ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า พังล้มเกลื่อนกลาด เฉกเช่นการเกิดภัยพิบัติร้าย
“โครม!”
สงครามครั้งใหญ่กลางห้วงนภา ในที่สุดวิหคยักษ์ปีกประกายทองก็คว้าโอกาสไว้ได้ มันใช้ปีกสีทองอร่ามกระพือพัดสะเทือนเวหา แค่พัดปีกก็ราวกับเกิดสายฟ้า ลำแสงทองพุ่งเฉียงออกไป เป็นพลังทำลายล้างราวกับภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ หรือดั่งพายุสายฟ้าฟาด พร้อมกันนั้นก็มียันต์แสงจ้าแสบตาพุ่งออกมา โจมตีใส่วิหคยักษ์เปลวเพลิงอย่างจังในชั่วพริบตาเดียว
“ปึงปึง!”
วิหคยักษ์เปลวเพลิงม่วงถูกปีกของวิหคยักษ์ปีกประกายทองพัดโจมตีจังๆ ยันต์เปลวเพลิงม่วงที่ห่อหุ้มร่างกายมันถูกพัดสลายไป จากนั่นวิหคสีม่วงก็บินเซ บนหลังเห็นเนื้อและโลหิตมีไหลพรูออกมา ลำตัวยักษ์ของมันพุ่งดิ่งลงข้างล่าง แล้วก็กระแทกลงผิวเขาอย่างรุนแรง จนเนินเขาสูงพังราบจนกลายเป็นแค่พื้นเรียบ ในหุบเขาโดยรอบ เกิดกองเพลิงเดือดระอุขึ้นมา
วิหคยักษ์ปีกประกายทองรีบบินพุ่งตามลงไป กระพือปีกอย่างไว เพื่อดับกองเพลิงระอุนั้น ราวกับว่ามันรีบร้อนอะไรบางอย่าง
“แกว่ก!”
ในขณะนั้น วิหคยักษ์เปลวเพลิงสีม่วงที่ตกลงไปเริ่มขยับตัว มันพ่นเปลวไฟสีม่วงออกมาซึ่งในนั้นมีอักษรยันต์ลอยวนหุ้มพลังไปที่พุ่งทะลวงอากาศไป แววตาดุดันของวิหคยักษ์ปีกประกายทองเปลี่ยนไป มันรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว ทว่าไหวตัวช้าไปหน่อย ความเร็วของไฟสีม่วงนั้นเร็วดุจความเร็วแสง พุ่งทะลวงผ่านร่างของวิหคยักษ์สีทองไป จนเกิดแผลเนื้อเปิดเลือดไหลพรวด
“แกว่ก!”
วิหคยักษ์ปีกประกายทองท่าทางโมโห รีบใช้ปีกทองอร่ามของมัน ตบลงบนศีรษะของวิหคยักษ์เปลวเพลิงม่วงอย่างแรง…
“บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเลย!”
“โอกาสมีไม่น้อย และไม่แน่ว่าจะมีอีก สายโลหิตระดับสุดยอดของอสูรสองตัวนั้น เป็นของล้ำค่าที่ยิ่งกว่าล้ำค่า”
“หากผู้สืบทอดของพวกเราสามารถนำโลหิตสกัดของมันมาสร้างรากฐานปราณ อย่างน้อยๆ ก็สามารถได้พลังพื้นฐานของอสูรสองตัวนั้น ต่อไปจะโดดเด่นเหนือใครๆ เก่งฉกาจสะเทือนยุทธภพ”
“ซู่ๆ!”
ขณะนั้นเอง บนหลายยอดเขาบริเวณนั้น มีเงาของคนหลายคนบินฉิวบนอากาศอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างคือยอดฝีมือที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ทุกคนมุ่งไปยังวิหคยักษ์สองตัวที่แพ้ยับเยินทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครรอช้าเกรงว่าจะฉวยโอกาสไว้ไม่ทัน
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “ยุทธจักรเทพยุทธ์”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/2819
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)