แสงขาวนวลยามราตรีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด อาทิตย์ทอแสงอุทัยทั่วท้องฟ้าสาดส่องมายังเมืองสือเฉิง
หน้าประตูบ้านสกุลตู้ มีฝูงชนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันอย่างหนาแน่น มีเสียงพูดคุยกันเจี๊ยวจ๊าวเป็นเสียงพื้นหลัง วันนี้เป็นวันที่บ้านสกุลตู้รับสมัครองครักษ์ คนที่ต้องการเข้าร่วมเข้าแถวรออยู่หน้าเวทีประลองนานแล้ว แต่ละคนต่างเปี่ยมด้วยความฮึกเหิม ท่าทางกระตือรือร้นอยากเข้าประลอง
ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วม ก็ถือโอกาสมามุงดูเหตุการณ์ เปิดหูเปิดหา เพราะงานที่คึกคักเช่นนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยสักเท่าไร
ณ บ้านสกุลตู้ คนของบ้านสกุลตู้พากันออกมาจากประตูใหญ่ มีองครักษ์จำนวนมากยืนประจำอยู่รอบๆ แม้จะเป็นที่ผู้คนชุมนุมกันอย่างคึกคัก ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าก่อเรื่อง
“นั่นมันนายน้อยจอมทึ่มประจำบ้านสกุลตู้คนนั้นนี่ ไปยืนบ้าอยู่บนภูเขาร้างอีกแล้ว”
“แท่นศิลาตรงนั้นหายไปแล้ว แปลกจัง”
ด้านนอกบ้านสกุลตู้ถูกรายล้อมจนแน่นขนัด หลายคนเงยศีรษะไปมองภูเขาร้างที่อยู่ด้านหน้าของประตูข้าง เห็นชายหนุ่มสวมชุดอย่างดีสีม่วง กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ไม่ต้องคาดเดาเลย คนในเมืองสือเฉิงต่างทราบดีว่านอกจากคุณชายน้อยจอมทึ่มของบ้านสกุลตู้แล้ว ก็ไม่น่าจะมีคนอื่นอีกแล้ว
สิบปีมานี้ เรื่องเล่าขานและชื่อเสียงของตู้เซ่าฝู่ คุณชายชายน้อยจอมทึ่ม เป็นที่รู้จักของชาวบ้านทุกคนมานานแล้ว ไม่มีบ้านไหนที่ไม่รู้ เป็นประเด็นที่ผู้คนมักพูดถึงกันยามว่างนั่งจิบน้ำชา
เอ่ยถึงตู้เซ่าฝู่ เป็นคุณชายของบ้านสกุลตู้ ในเมืองสือเฉิงแห่งนี้ ถือว่าได้เกิดมามีชาติตระกูลอยู่อย่างสุขสบาย เพียงแต่เมื่อตู้เซ่าฝู่หกขวบ ได้รับการตรวจชีพจร พบว่าชีพจรที่เป็นแหล่งกำเนิดลมปราณไม่สามารถใช้การได้ จึงมิอาจฝึกวรยุทธได้
ในยุคสมัยที่วิทยายุทธเจริญรุ่งเรือง ยกย่องวรยุทธเป็นสิ่งสำคัญ การที่ไม่สามารถฝึกวรยุทธได้จะทำให้เกิดผลเสียภายหลัง เกิดเป็นคุณชายน้อยในบ้านสกุลตู้ แต่เดิมสามารถใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงและอำนาจของบ้านสกุลตู้ที่มีในเมืองสือเฉิงได้ แต่ต่อให้ไม่สามารถฝึกวรยุทธได้ ไม่มีฐานะอำนาจในตระกูล แต่อย่างน้อยพอดำรงชีวิตอยู่ไปได้
แต่ก็ยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันนั้นที่ตรวจพบว่าชีพจรลมปราณใช้การไม่ได้ คุณชายน้อยบ้านสกุลตู้คนนี้ช่างโชคร้าย ท่ามกลางลมฝนที่กระหน่ำอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงวิ่งไปที่แท่นศิลาของภูเขาร้างต้องคำสาป สายฟ้าฟาดลงมาที่แท่นศิลา แท่นศิลาไม่เป็นอะไร แต่คุณชายน้อยบ้านสกุลตู้ที่น่าสงสารกลับได้รับเคราะห์ร้ายจากพลังจากธรรมชาติ ถูกฟ้าผ่าใส่ต้องรักษาตัวสามวันจึงฟื้นได้สติ
หลังจากตอนนั้น คุณชายน้อยคนนี้ก็มักชอบเผ่นไปหาแท่นศิลา ตอนแรกยืนอยู่ตรงนั้นไม่กี่ชั่วยาม ภายหลังเวลาที่ยืนก็ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ มักยืนเหม่อลอย ทำท่าทางแปลกๆ บางครั้งถึงกับลงไม้ลงมือกับแท่นศิลานั้นด้วย
ตอนแรกยังพอมีคนของบ้านสกุลตู้ไปรั้งไว้บ้าง และตามหาหมอมาช่วยรักษา แต่กลับไร้ผล พอเวลานานวันเข้า บ้านสกุลตู้เลยปล่อยไม่สนใจแล้ว
ระยะเวลาสิบปี ชื่อเสียงของเจ้าทึ่มคนนี้ก็ค่อยๆ เล็ดลอดออกจากบ้านสกุลตู้จนดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองสือเฉิง ทุกคนต่างรู้จัก ในบรรดาคุณชายน้อยบ้านสกุลตู้มีคุณชายน้อยจอมทึ่มอยู่คนหนึ่ง
“หากทายาทของบ้านสกุลตู้ต่างเป็นเช่นเขา วันนี้ก็คงง่าย”
บุรุษหนวดเคราเฟิ้ม ผิวพรรณมีสีค่อนข้างคล้ำ ร่างกายกำยำคนหนึ่ง ก็มองไปที่เงาคนบนภูเขาร้าง พูดออกมาเสียงเบาๆ
“บรรดาลูกหลานของบ้านสกุลตู้ออกมากันแล้ว”
“ได้ยินว่าครั้งนี้ ในบรรดาทายาทของบ้านสกุลตู้ ตู้อวี่และตู้เสวี่ยแข็งแกร่งที่สุด มีพรสวรรค์เกิดมาพร้อมกับพลังปราณขั้นห้า พออายุสิบสี่ก็ฝึกพลังปราณได้เป็นขั้นที่หก เป็นไปได้ว่าพออายุสิบเจ็ดสิบแปดก็สามารถเข้าสู่ขั้นเบิกนภาได้แล้ว ขั้นเบิกนภาตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี มีเพียงหนึ่งในล้านคนเท่านั้น”
ณ ประตูใหญ่บ้านสกุลตู้ มีเหล่าวัยรุ่นท่าทางดูไม่ธรรมดาสิบกว่าคนเดินขึ้นไปที่เวทีประลอง ทุกคนยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แม้อายุยังน้อย กลับมีท่าทางสง่าน่าเกรงขาม จนสามารถทำให้คนที่คุยเจี๊ยวจ๊าวกันหน้าเวทีสงบไปครู่หนึ่ง ทุกสายตาหันมามองเหล่าวัยรุ่นสิบกว่าคนที่อยู่บนเวที
ตู้ฉีก้าวขึ้นไปบนเวทีประลอง พูดกับผู้คนที่รายล้อมรอบๆ เวทีว่า “เริ่มต้นการรับสมัครองครักษ์ ณ บัดนี้ ผู้ที่รับสามกระบวนท่าได้ จะผ่านการทดสอบได้เป็นองครักษ์ของบ้านสกุลตู้”
“แกร๊ง~!”
เสียงทุ้มของระฆังดังก้องกังวาน
เริ่มต้นการรับสมัครองครักษ์อย่างเป็นทางการ บรรดาผู้ร่วมประลองทั้งหลายที่มารอต่อแถวกันแต่เช้าต่างกระโดดขึ้นบนเวที เพื่อประมือกับทายาทชายหญิงแต่ละคน
“แกร๊งๆ!”
“ปึ้งๆ!”
เสียงอาวุธกระทบกัน และเสียงเตะต่อยดังมาจากเวทีประลองไม่ขาดสาย คนที่อยู่รอบๆ โห่ร้องเป็นเสียงประกอบอยู่เรื่อยๆ เกิดเป็นเสียงดังครึกครื้นที่สามารถได้ยินมาแต่ไกล
ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่เวทีประลอง ไม่มีใครสังเกตเงาคนที่อยู่บนภูเขาร้างนั่นอีก
“ทำไมแท่นศิลาจึงแตกล่ะ มีกระบวนวิชาแรกแล้วก็น่าจะมีกระบวนวิชาที่สองสิ”
ณ ภูเขาร้าง ตู้เซ่าฝู่กำลังแหวกหาบางอย่างจากซากศิลาที่แตกเป็นเศษ หยิบชิ้นศิลาที่ยังเป็นก้อนใหญ่ขึ้นมาดูทีละชิ้น ในปากเอาแต่บ่นพึมพำเบาๆ ชุดสีม่วงของเขาที่แต่เดิมดูหรูหราถูกปกคลุมด้วยฝุ่น ใบหน้าเปรอะเปื้อนดูมอมแมม ทำให้ฟันขาวเรียงตัวสวยของเขายิ่งดูขาวโดดเด่นขึ้นไปอีก
“ช่างเถอะ ดูท่าในนี้คงไม่มีกระบวนวิชาที่สองแล้วล่ะ”
ตู้เซ่าฝู่เดินออกมาจากกองเศษศิลา ใช้สองมือตบบนชุดที่สวม จนฝุ่นที่อยู่บนชุดฟุ้งกระจาย สีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แววตาเป็นประกาย ดูสง่าราวกับมีรัศมีแผ่กระจาย ท่าทางในขณะนั้น ไม่เหมือนกับเป็นเจ้าทึ่มที่เลื่องชื่อประจำเมือง
“ฟู่!”
เขาตั้งฝ่ามือเตรียมกระบวนท่า ในฝ่ามือของตู้เซ่าฝู่ มีปราณสีบุษราคัมแผ่ออกมา ชุดเขาพลิ้วไสวอย่างรวดเร็ว ทำให้อากาศบริเวณโดยรอบหมุนพัดอย่างไว แผดเสียงออกมาราวกับสายพายุซัด พลังรุนแรงที่น่าอัศจรรย์แผ่ออกมาจากผู้ใช้ฝ่ามืออย่างไร้สาเหตุ “ฝึกกระบวนวิชาแรกนี้ได้ ระดับพลังปราณน่าจะเท่ากับประมาณระดับสองของคนอื่นกระมัง”
ครั้นบรรลุกระบวนวิชาแรกจากแท่นศิลาที่ใช้เวลามาสิบปี ในร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ตู้เซ่าฝู่เผยรอยยิ้มพอใจออกมาจากสีหน้า กระบวนวิชาลับวิชาแรกจากแท่นศิลาราวกับสร้างมาเพื่อผู้ที่ชีพจรลมปราณพัง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถฟื้นฟูชีพจรลมปราณได้ ทำให้ผู้ที่ชีพจรลมปราณใช้การไม่ได้สามารถฝึกฌานได้
รอยแตกรอยขีดข่วนที่อยู่บนแท่นศิลาเต็มไปหมด มีผลต่อการฟื้นฟูชีพจรลมปราณ อย่างน้อยๆ เขาก็เกิดมาในตระกูลที่มีชื่อด้านการฝึกวรยุทธ ตู้เซ่าฝู่รู้สึกว่าระดับพลังปราณของเขาน่าจะเท่ากับพลังปราณขั้นสองของคนอื่น
ทว่าตู้เซ่าฝู่พบว่าปราณในตัวของเขามีบางอย่างที่พิเศษ แม้ว่าจะเท่าประมาณพลังปราณขั้นสองของคนอื่น แต่เห็นได้ชัดว่าพลังปราณขั้นสองแบบทั่วไปก็ไม่อาจมาเปรียบเทียบได้
หลังจากฝึกพลังปราณขั้นแรกแล้วก็สามารถฟื้นฟูให้ชีพจรลมปราณเทียบเท่าพอๆ กับพลังปราณขั้นสองของคนอื่น หากต่อไปสามารถหากระบวนวิชาที่สอง กระบวนวิชาที่สามได้ ชีพจรลมปราณก็จะสามารถพัฒนาขึ้นไปได้ ตู้เซ่าฝู่รอคอยอยากให้วันนั้นมาถึงอย่างสุดใจ
“อย่างน้อย ต่อไปก็สามารถฝึกฌานได้แล้ว แต่ว่า ฉายาเจ้าทึ่มนี้ควรหาวิธีลบมันทิ้งไปก่อนจะดีกว่า”
พอตู้เซ่าฝู่เก็บมือ ลมปราณที่ที่แผ่ออกมาหายแว็บไปจากฝ่ามือ สายตาแสดงความปีติออกมาเล็กน้อย หลายปีมานี้ ตัวเขาต้องเป็นเจ้าทึ่มที่มีชื่อแห่งเมืองสือเฉิง จนทุกคนจะคิดว่าเขาเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ แล้ว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ตู้เซ่าฝู่ไม่เคยใส่ใจที่ตัวเองมีฉายาเป็นเจ้าทึ่ม แม้กระทั่งรู้สึกดีใจที่คนอื่นคิดว่าเขาเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ มีแต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ จึงไม่มีใครมาขัดขวางการบรรลุกระบวนวิชาจากแท่นศิลาของเขา
แต่ขณะนี้เขาสามารถบรรลุไปบ้างแล้ว เส้นทางการฝึกฌานของเจ้าทึ่มคนนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากตระกูล แต่ตอนนี้ทรัพยากรของตระกูลเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นการที่วันๆ ถูกคนเรียกเจ้าทึ่ม ก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร ของที่เขาต้องเสียไปสิบปี ตู้เซ่าฝู่คิดว่า ตัวเองควรจะค่อยๆ ทวงคืนกลับมา
“ปึ้งๆ!”
บนเวทีประลองที่หน้าประตูบ้านสกุลตู้ ทายาทชายหญิงอายุสิบสามสิบสี่ปีจำนวนสิบกว่าคนของบ้านสกุลตู้ บ้างก็ใช้มือเปล่า บ้างก็ใช้อาวุธ พวกเขากำลังประมือกับผู้ร่วมประลองสิบกว่าคนอยู่
ทายาทของบ้านสกุลตู้สิบกว่าคนแม้อายุยังน้อย ทว่าระหว่างการปะทะกับเหล่าผู้ร่วมประลองที่กระโดดขึ้นบนเวทีประลอง กลับดูแล้วเหนือกว่า ราวกับว่าใช้กระบวนท่าแค่ท่าสองท่าก็สามารถกำราบกลุ่มผู้ร่วมประลองที่กระโดดขึ้นเวทีประลองขึ้นมากันทีละคนไปได้ ทำให้ผู้คนที่มุงดูตื่นเต้นประหลาดใจ ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าบ้านสกุลตู้น่าเกรงขามขึ้นไปอีก
“ก็แค่รับสามกระบวนท่าไว้ให้ได้ ข้าขอสู้ตาย”
“ครั้งนี้ต้องเป็นองครักษ์ของบ้านสกุลตู้ให้ได้ สู้โว้ย”
ผู้ร่วมประลองแต่ละคนพอเห็นความเก่งกาจของบรรดาทายาทหญิงชายของบ้านสกุลตู้ ก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในบ้านสกุลตู้ ก็มีโอกาสได้ฝึกอย่างน้อยครึ่งกระบวนวิชาของบ้านสกุลตู้ อย่างนั้นก็สุดยอดไปเลยไม่ใช่หรือ
เพียงแต่เหล่าผู้ร่วมประลองที่กระโจมขึ้นเวทีกันอย่างฮึกเหิม ไม่มีใครที่สามารถรับกระบวนท่าได้เกินสามท่าเลย ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม มีผู้ขึ้นมาประลองบนเวทีถึงสองสามร้อยคน แต่ต่างถูกโจมตีตกเวทีกันทีละคนๆ ทว่าหนุ่มน้อยสาวน้อยสิบกว่าคนนั้น ก็เริ่มเหนื่อยหอบ คาดว่าใช้แรงกันไปพอประมาณแล้ว
ในที่สุดก็มีราวๆ ยี่สิบกว่าคนที่รับได้สามกระบวนท่า บนร่างกายของหลายคน ต่างมีบาดแผล แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ในเวทีได้ พวกเขาตื่นเต้นฮึกเหิมกันใหญ่
สายตาของทุกคนยังจับจ้องอยู่บนเวทีประลอง ตู้เซ่าฝู่เดินลงมาจากภูเขาร้างแล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา
ตู้เซ่าฝู่เบียดฝ่าฝูงชนเข้ามาชมการประลองด้วย มองดูกระบวนท่าของลูกพี่ลูกน้องของเขาที่อยู่บนเวทีประลอง บางทีก็ขมวดคิ้ว ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พร้อมกับขยับมือสองข้างที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อยาวไปมาเล็กน้อย
“วิทยายุทธเหล่านี้ของบ้านสกุลตู้ เหตุใดจึงมีช่องโหว่มากมาย หรือว่าข้าคิดมากไปเอง”
ตู้เซ่าฝู่บ่นพึมพำเบาๆ อยู่ท่ามกลางฝูงชน แสดงสีหน้าสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนก็เคยดูคนในตระกูลฝึกวิทยายุทธ ขณะนั้นยังไม่อาจเข้าใจแม้แต่น้อย ต่อมาเมื่อบรรลุกระบวนวิชาบนแท่นศิลาแล้ว รู้สึกว่าเข้าใจวิทยายุทธของบ้านสกุลตู้ขึ้นมาบ้าง
แต่พอมาถึงขณะนี้ ตู้เซ่าฝู่มองดูวิทยายุทธของญาติๆ กลับเห็นช่องโหว่ของมันได้อย่างชัดที่มีอยู่ไม่น้อย มีหลายท่าที่มีจุดอ่อนอยู่มากมาย
“หยุด ครบยี่สิบคนแล้ว การรับสมัครจบลงเพียงเท่านี้”
เมื่อมีผู้ร่วมประลองร่างผอมคนหนึ่งสามารถฝืนรับกระบวนท่าที่สามด้วยสภาพแทบกระอักเลือด ผ่านได้เป็นคนสุดท้าย ตู้ฉีที่ยืนอยู่มุมสนามประลองเดินตรงมาด้านหน้า มองไปที่ชายที่รับสามกระบวนท่าได้คนนั้น กล่าวว่า “ยินดีกับทุกท่านที่ต่อไปจะเข้าร่วมกลุ่มองครักษ์ของบ้านสกุลตู้ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกสักครู่สามารถเข้ารับการรักษาที่เรือนหมอของบ้านสกุลตู้โดยได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย”
“ขอบคุณท่านรองผู้บัญชาการ”
ผู้ผ่านการประลองทั้งยี่สิบคนพยักหน้าดีใจ ได้เป็นองครักษ์ของบ้านสกุลตู้ ก็จะได้รับการปฏิบัติที่ดีเยี่ยม
“เฮ้อ จำนวนครบแล้วหรือ วันนี้ข้ามาเก้อเสียแล้ว”
“คนของบ้านสกุลตู้ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน อายุเพียงเท่านี้ก็ฝีมือร้ายกาจขนาดนี้”
หลังจากที่ตู้ฉีประกาศจบการประลอง มีผู้สมัครหลายคนที่รอขึ้นเวทีต้องถูกตัดสิทธิ์ไปอย่างน่าเสียดาย หากรู้แต่แรกน่าจะมาต่อแถวเช้ากว่านี้ ฝูงชนที่มามุงดู ก็หยุดถกเถียงกันเรื่องการประลองเตรียมจะแยกตัวกันไป
ทายาทบ้านสกุลตู้สิบกว่าคนก็เตรียมแยกตัวกลับไป สำหรับพวกเขา วันนี้คือการประลองฝีมือครั้งแรก การประลองครั้งนี้ต่างจากปกติที่ประมือกันเองในตระกูลเองอยู่มาก
“ช้าก่อน”
ขณะนั้นเอง มีบุรุษร่างกายกำยำ สีผิวคล้ำเล็กน้อย ใบหน้ามีหนวดเคราเฟิ้มคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ผ่านการคัดเลือกยี่สิบคนที่รับสามกระบวนท่าได้ ก้าวออกมาข้างหน้า มองไปทางตู้ฉี รวบรวมความกล้าพร้อมกล่าวว่า “รองผู้บัญชาการ หากเอาชนะหรือต่อสู้เสมอกับทายาทคนใดคนหนึ่งของบ้านสกุลตู้ได้ ก็จะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์ใช่หรือไม่?”
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “ยุทธจักรเทพยุทธ์”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/2819
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)