อาจารย์ท่านนั้นไม่พูดไม่จาคล้ายไม่อยากยุ่ง หรือเพราะไม่กล้าเข้ามายุ่งด้วย
สังคมในนี้มันช่างน่ากลัวเสียจริงๆ!
ศิษย์เกือบทั้งหมดต่างจ้องมองเป็นตาเดียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีเพียงหญิงงามนางหนึ่งก้าวออกมาด้านหน้า “ช่างเถอะเสี่ยว
เหยียน ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว”
“เจ้าอย่ามายุ่งดีกว่าอาเหยา หากไม่ได้ประลองแล้วล่ะก็ ข้าจะต้องจมปลักอยู่กับมันแน่ๆ…”
ถึงจะเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงความเด็ดเดี่ยว กระบี่เพลิงกัลป์ในมือเริ่มเปล่งพลังดุจเปลวเพลิงสว่างจ้า ถึงแม้จะเป็นหญิงงามร่างเล็กถือกระบี่ยาวกว่าเมตรสามสิบเซนติเมตร แต่ยังให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม
ข้าเงียบไปกว่าครึ่งนาที เมื่อไม่มีทีท่าว่าใครจะยื่นมือเข้าช่วยจึงพูดขึ้น “ซูเหยียน ตามกฎระเบียบของสำนักหมื่นวิญญาณ ห้ามไม่ให้ศิษย์ระดับสูงท้าประลองกับศิษย์ที่ระดับต่ำกว่า เจ้าอยู่ในขั้นไหนแล้วล่ะ? อย่างน้อยๆ คงจะถึงขั้นสวรรค์ ต่างจากข้าที่ไม่อยู่ในขั้นใดเลย ฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์จะท้าประลองกับข้า”
ความรู้สึกดีใจและอยากขอบคุณตัวเองที่ถือโอกาสอ่านกฎระเบียบของสำนัก ขณะที่นำกระบี่ไปส่งยังสนามต่างๆ
“ข้ารู้”
ซูเหยียนยิ้มตาหยีแล้วพูดขึ้น “เจ้าวางใจได้ เพราะจะเป็นการประลองกันแบบยุติธรรม โดยจะประลองเพียงกระบวนท่า ไม่ใช้พลังสวรรค์เลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าว่าอย่างไร? ได้ยินว่าเพลงกระบี่ของเจ้าเป็นที่เลื่องลือในเมืองหยินเย่เฉิง ข้าเองก็อยากเห็นกับตาเหมือนกัน”
ข้ายังคงมองกระบี่เพลิงกัลป์ไม่วางตา ก่อนจะตกปากรับคำออกไป “ได้ ข้ารับคำท้าประลองของเจ้า!”
“ดี เตรียมตัวเริ่มประลอง!”
ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะมั่นใจในเพลงกระบี่ของตัวเองไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน ข้าจะทำให้นางได้รู้จักคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ถึงจะสวยและเป็นถึงลูกเสนาบดี แต่ก็ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง!
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี…”
ข้าพยักหน้ารับพลางยื่นข้อเสนอ “หลังจากการประลองครั้งนี้จบลง เจ้าก็ห้ามมาวุ่นวายกับข้าอีก”
“ข้ายอมรับข้อเสนอ”
พลังวิญญาณบนกระบี่เพลิงกัลป์เลือนหายไป นางจรดปลายกระบี่ลงบนพื้นแล้วพุ่งตรงเข้ามา
“ทุกคนถอยไป!”
อาจารย์ท่านนั้นรีบตะโกนบอก
…
ฟุบ!…
ซูเหยียนเพิ่มความเร็วแล้วชี้ปลายกระบี่มาข้างหน้าพร้อมกับพลังที่แข็งแกร่งกว่าข้ามาก
ทว่าจะใช้เพียงพละกำลังอย่างเดียวคงยังไม่เพียงพอ…
ขณะที่ปลายกระบี่ใกล้เข้ามา ข้าจึงรีบเบนตัวออกเพื่อหลบการโจมตี ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นกันกระบี่ของนางจากด้านหลัง “เกร๊ง!” ไม่กี่อึดใจ กระบี่ทั้งสองเล่มก็เกิดประกายไฟไหลลามบนคมกระบี่ กระบี่ของข้าเริ่มปรากฏร่องรอยจนแทบจะขาดจากกัน หากซูเหยียนใช้พลังวิญญาณจริงๆ ข้าก็คงจะแพ้ไปแล้ว
จังหวะที่นางกำลังจะพุ่งผ่านข้าไป ข้าวาดปลายเท้าตั้งหลักแล้วพลิกตัวกลับมาจับไหล่ของนางเอาไว้ ก่อนจะยกเข่าขึ้นหมายจะกระแทกลงไปบนหน้าท้องขณะที่นางพลิกตัวกลับมา
เกิดครั้งนี้โดนเข้าเต็มๆ ข้าจะชนะทันที!
แต่ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคนอย่างซูเหยียนจะต้องมีครูดีถ่ายทอดวิชาให้ตั้งแต่เด็ก ด้ามกระบี่ฟาดลงบนหน้าขาของข้าอย่างรวดเร็ว ก่อนความเจ็บจะแล่นแปลบเข้ามาทันที ช่วงเวลาที่ฉุกละหุกอยู่นั้น พอได้จังหวะจึงยกกระบี่ขึ้นแนวขวางและล็อกด้ามกระบี่นางไว้ และอาศัยพละกำลังของผู้ชายกระแทกกลับไปที่ตัวของนางเต็มแรง
“ปึก!!”
ก้อนเนื้อนุ่มทาบตรงหน้าของข้าพอดี… แม้ข้าจะไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับนางคงไม่ใช่แบบนั้น
ซูเหยียนไม่ได้ใช้พลังวิญญาณทำให้พละกำลังมีน้อยกว่า เมื่อถูกกระแทกเข้าไปจึงต้องถอยร่นออกไปพอสมควร แต่เพราะด้ามกระบี่ถูกข้าล็อกเอาไว้แน่นจึงถลาไปไม่ไกลนัก ใบหน้ารูปไข่แสดงอารมณ์เดือดดาลก่อนจะเหวี่ยงหมัดซ้ายเข้ามา
“ซูเหยียน สู้ๆ!”
“จัดการมันเลย ซูเหยียน!”
กลุ่มศิษย์ชายส่งกำลังใจให้หญิงงามอย่างหน้าไม่อาย
ข้าเองไม่ยอมอ่อนข้อ ก่อนจะแลกหมัดเข้ากลับไปเช่นกัน
“ปึก!!”
หมัดสั่นไหวจากแรงกระแทก แม้ว่าหมัดสายฟ้าของข้าจะไม่มีพลังวิญญาณ แต่ก็ยังหนักแน่นและทรงพลัง ผิดกับซูเหยียนที่ร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะดึงมือกลับและผละมือจากกระบี่เพลิงกัลป์
กระบี่เล่มนั้นถูกข้าดึงมาไว้ในมือ แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้อื่น กระบี่ก็ค่อยๆ สลายกลายเป็นเปลวไฟที่ร้อนระอุจนข้าต้องสลัดมือออกทันที
…
กลุ่มศิษย์ที่ส่งเสียงเชียร์ซูเหยียนเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเงียบสงบนิ่งอึ้งกับภาพเบื้องหน้า เพราะต่างนึกไม่ถึงว่าคนเก่งซึ่งเป็นที่หนึ่งของบรรดาศิษย์หน้าใหม่ทั้งหลายจะพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์สำรองอย่างข้า!
และสาเหตุที่ทำให้นางต้องพ่ายแพ้ เพราะกระบี่เพลิงกัลป์มีความยาวมากเกินไป รวมถึงนางยังไม่ได้เรียนรู้ข้อดีของกระบี่เท่าที่ควร สุดท้ายจึงกลายเป็นจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้เดาทางได้
ซูเหยียนยืนนิ่งอยู่กับที่ นางมองข้าราวกับสงสัยและไม่เข้าใจในศิษย์สำรองผู้นี้อยู่พักใหญ่ ตอนนี้นางไม่มีทีท่าดื้อดึงเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ข้าแพ้แล้ว… เรื่องระหว่างข้ากับท่าน ขอให้เราหายกันตั้งแต่วันนี้!”
คำขอโทษที่พูดออกมา คงมีเพียงข้าและนางที่เข้าใจความหมายเท่านั้น
บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมด้วยความเงียบ และท่าทางของศิษย์คนอื่นๆ ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จะมีก็แต่เสียงรถทีถูกเข็นออกมาเท่านั้น
ความกังวลเมื่อครู่ถูกทอดถอนออกผ่านลมหายใจ หากซูเหยียนใช้พลังวิญญาณขึ้นมาจริงๆ ต่อให้มีอีกร้อยชีวิตคงไม่เพียงพอ การประลองครั้งนี้ถือว่าอันตรายยิ่งนัก เพราะถ้านางเล่นตุกติกเพียงนิดเดียว ข้าอาจไม่รอด แต่นางกลับไม่ทำอย่างนั้น
ขณะเข็นรถผ่านมุมหนึ่งของอาคารเรียน ตรงจุดนั้นมีป้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ป้ายนั้นเป็นรายชื่อของศิษย์ดีเด่นซึ่งหนึ่งในนั้นคือซูเหยียน ผู้ครองอันดับหนึ่งประจำปีนี้ ส่วนข้า… ผู้ที่ทำงานในโรงเกลากระบี่คงไม่มีสิทธิ์เป็นหนึ่งในนั้นอยู่แล้ว
พอกลับมาถึง ข้าก็เริ่มเกลากระบี่ที่เก็บกลับมา… ใช้เวลาไม่นานงานทุกอย่างก็เสร็จสมบูรณ์
เมื่อมองนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสามกว่าๆ ยังพอมีเวลาให้จับกระบี่เพื่อฝึกกระบวนท่าต่างๆ แต่แปลกที่ข้ากลับรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะตอนนี้ไม่มีพลังวิญญาณ หรือแม้แต่ความเร็วและพลังต่างๆ ก็ลดลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด
แต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีปราณวิญญาณจึงเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนพลังได้ เช่นเดียวกับข้าในตอนนี้ แม้แต่กระบี่คมจันทราซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณประจำกายยังไม่สามารถเรียกออกมาได้
“จะท้อไม่ได้!”
การยอมแพ้เพราะเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่ตัวข้าเลยสักนิด
เมื่อฝึกฝนกระบวนท่าในการเคลื่อนไหว ก่อนจะจู่โจมด้วยกระบี่อีกนับครั้งไม่ถ้วน ถึงตอนนี้จึงรู้สึกได้ว่ากระบี่เล่มนี้เริ่มเบาขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งเวลาประมาณห้าโมง ซ้งเชียนที่เลิกเรียนก็กลับมาถึง
“พี่เชวียน ไปกินข้าวกันเถอะ!”
เหมือนเขาจะยังไม่รู้ว่าข้ากินเยอะขนาดไหน
ไม่นานเราทั้งสองคนก็มาถึงโรงอาหาร ก่อนจะเลือกนั่งในที่ที่ไม่สะดุดตานัก แม้จะมีบ้างที่สายตายังจับจ้องมาที่เรา แต่ข้าก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินข้าวจนหมดอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นซ้งเชียนกำลังจ้องมองข้าไม่วางตา
“ท่าน… ท่านเจริญอาหารขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอถูกทำลายพลังก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”
“อืม ใช้บัตรของข้าสิ ในนั้นยังพอมีเงินอยู่บ้าง”
“ข้าเกรงใจ…”
“พี่น้องกันจะมัวเกรงใจทำไมล่ะ ท่านรีบไปซื้อข้าวเถอะ”
“อืม”
เพราะแบบนี้จึงทำให้ข้าได้กินข้าวสำหรับสี่คนแบบเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้ากลับรู้สึกว่าเพิ่งกินไปได้แค่ครึ่งกระเพาะเท่านั้นเอง
…
ในช่วงเย็น สำนักหมื่นวิญญาณจะไม่มีการเรียนการสอน พอแดดร่มลมตก ข้าจึงให้ซ้งเชียนพาเดินดูรอบๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับที่นี่
ช่วงเวลาโพล้เพล้ยังมีผู้ฝึกฝนอยู่ในสนาม ซึ่งการฝึกฝนถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ฝึกฝนวิญญาณทุกคน หรือแม้การฝึกฝนทางด้านร่างกายและจิตใจก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะไม่มีผู้เก่งกล้าคนใดไม่เคยผ่านการฝึกอันทรหดมาก่อน
“เจ้าไม่มีพลังสวรรค์ไม่ใช่หรือไงเสี่ยวเชียน แล้วทำไมถึงเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” ข้าอดถามไม่ได้ขณะที่กำลังเดินไปด้วยกัน
ซ้งเชียนยิ้ม “ท่านดูสิว่าบนหัวของข้ายังมีแสงวิญญาณอยู่หรือเปล่า ถึงจะบอกได้ไม่ชัดว่าข้ามีพลังสวรรค์ด้านไหน แต่ก็ถือว่ามีไม่ใช่เหรอ แถมท่านพ่อยังบริจาคเงินให้สำนักตั้งห้าแสนเหรียญหลงหลิง ข้าจึงเข้ามาได้อย่างไรล่ะ อีกอย่างหลังจากปลุกพลังวิญญาณ ข้ายังรู้สึกได้ว่าตัวเองมีสติและฉลาดมากขึ้น ฉะนั้น ข้าจึงขนานนามพลังสวรรค์ว่าความฉลาด”
“แบบนี้ก็ได้เหรอ?”
“แน่นอน มีเงินจะทำอะไรก็ได้”
ซ้งเชียนเริ่มพูดต่อ “พี่เชวียน ถ้าท่านยังหิวอยู่ ข้าจะออกไปซื้อของมาให้ เพราะถึงอย่างไร… แม้ข้าจะไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ถ้าข้าอิ่มท่านก็ต้องไม่อด”
“ขอบใจเจ้ามาก แต่ตอนนี้ข้ายังไม่หิวน่ะ”
ที่บอกว่าไม่หิวเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะหลังจากกินเสร็จข้าก็รู้สึกหิวขึ้นมาอีก… ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายข้ากันแน่ ถึงได้กลายเป็นคนที่กินจุแบบนี้
ขณะนั้นมีศิษย์สองคนกำลังพูดคุยพลางชี้นิ้วมาทางพวกเรา หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “นั่นมันศิษย์ตัวสำรองที่ชนะการประลองกับซูเหยียนเมื่อกลางวันไม่ใช่หรือไง?”
“ใช่… ใช่เขาจริงๆ ด้วย ข้าจำได้”
…
ซ้งเชียนชะงักไปก่อนจะถามหน้าตาตื่น “พี่เชวียน อย่าบอกนะว่าศิษย์ตัวสำรองที่ชนะซูเหยียนเมื่อกลางวันคือท่าน?”
ข้าตอบโดยไม่ปิดบัง “อืม ซูเหยียนเป็นคนท้าประลองข้าเอง และนางก็คือคนที่ทำพิธีปลุกพลังให้ข้ายังไงล่ะ เจ้าก็น่าจะรู้จักดี”
“อืม ข้าจำนางได้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ได้ยินว่าวันนั้นนางนึกสนุกจึงไปขอร้องซูซีอวี๋ให้เปลี่ยนตัวกับนาง จนเกิดเรื่องราวที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ถึงข้าจะรู้สึกว่าท่านกับนางเหมือนมีอะไรบางอย่าง แต่ว่าพี่เชวียน… ท่านชนะนางได้อย่างไร? นางเข้ามาเป็นศิษย์ของที่นี่เพราะคะแนนสอบที่ได้เต็มทั้งภาคทฤษฎีและการประลอง ได้ยินว่าอาจารย์ที่ประลองกับนางวันนั้นได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ทุกคนต่างเล่าลือกันว่านางแข็งแกร่งราวกับสัตว์ประหลาด แต่ข้าว่าท่านเก่งยิ่งกว่าเสียอีก”
ข้ายิ้มออกมาเล็กน้อย “ขนาดนั้นเลยเหรอ? จริงๆ นางก็ไม่เลวเหมือนกัน แม้จะเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ แต่ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร… ถึงจะค่อนข้างเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อยก็เถอะ”
“นั่นก็เรื่องธรรมดา จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ทั้งสวยและนิสัยดีกันล่ะ ยิ่งเป็นลูกของพวกสูงศักดิ์ก็ต้องโดนตามใจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว”
“อืม มันก็จริง…”
…
วันที่สอง ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ซ้งเชียนก็มาตะโกนเรียกหน้าตาตื่น “พี่เชวียน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ท่านได้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ของสำนัก”
“หนังสือพิมพ์ของสำนัก?”
ข้าที่สะลึมสะลือลุกขึ้นด้วยความเหนื่อยล้าจากการเกลากระบี่มาทั้งคืน เห็นซ้งเชียนกำลังกางหน้ากระดาษก่อนจะยื่นให้ดูพาดหัวข่าวตัวใหญ่บนหน้าหนึ่ง ‘เด็กใหม่อันดับหนึ่งซูเหยียนพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์ตัวสำรองอย่างปู้อี้เชวียนอย่างไม่น่าเชื่อ!’
นอกจากพาดหัวยังมีรูปภาพเบลอๆ ที่ไม่รู้ว่าถ่ายไว้ตอนไหน สำนักวิญญาณนี่ไม่เบาจริงๆ ขนาดของหายากอย่างกล้องถ่ายรูปยังมีไว้ครอบครอง
ซ้งเชียนยิ้มท่าทางดีอกดีใจ “พี่เชวียน คราวนี้ท่านดังแน่ๆ!”
ข้าตอบกลับอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “มีอะไรให้น่าดีใจกัน นี่มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวปัญหาจะต้องตามมาอีกเยอะแน่ๆ”
“อ๋อ…”
ซ้งเชียนตอบรับเสียงต่ำแล้วตบที่บ่าของข้า พลางพูดยิ้มในใบหน้า “ไม่เป็นไร เราสองพี่น้องมีเรื่องอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว!”
“ให้ข้าแบกรับเองดีกว่า เจ้าเป็นศิษย์อันดับที่เท่าไรถึงได้มาช่วยข้า?”
“เรื่องนั้นมัน…” ซ้งเชียนเกาท้ายทอยตัวเองท่าทีเขินอาย “ถึงแม้ว่าปีนี้จะมีศิษย์แค่ 1,274 คน แต่ข้าก็… อยู่ลำดับที่ 1,273 นะแฮ่ๆ”
“…”
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “ตำนานกระบี่จอมราชัน”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/5108
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)