“เจ้าคือปู้อี้เชวียนสินะ?” จวงเหิงซิ่งถามขึ้นพร้อมสะบัดผม พูดจาอวดดี “ดูแล้วไม่น่าจะเก่งเท่าไร ไม่รู้ทำไมเฉิ่นปู้หยุนถึงได้ถูกใจจนต้องรับเจ้าเป็นลูกศิษย์”
ข้าตอบไปอย่างเฉยชา “มันเป็นความคิดของปรมาจารย์นักรบวิญญาณ ข้ามิอาจคาดเดาได้ ศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีก็มิอาจคาดเดาได้เหมือนกัน เจ้าพูดแบบนี้ก็เหมือนทำตัวเป็นกบในกะลา ที่เหตุผลแค่นี้ก็คิดไม่ได้”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
จวงเหิงซิ่งพูดเสียงแข็ง “อย่าคิดว่าเป็นลูกศิษย์ของเฉิ่นปู้หยุนแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ!”
ซูเหยียนที่ยืนใกล้ๆ ผายมือออกข้างหนึ่ง เผยให้เห็นเปลวเพลิงคล้ายกระบี่เพลิงกัลป์จะปรากฏออกมา “เจ้าคิดจะทำอะไรเขา? ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้าก็อยากจะลงไม้ลงมือกับเจ้าไม่ต่างกัน จวงเหิงซิ่ง อย่าคิดว่ามาจากสำนักจวี๋ฉีแล้วจะทำอะไรก็ได้ คิดว่าสู้ข้าได้อย่างนั้นเหรอ?”
จวงเหิงซิ่งสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ซูเหยียนข้า… ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น หรือคิดจะสู้กับเจ้าเลยนะ เจ้าอย่าเข้าใจผิดสิ ข้าเพียงแค่…”
“เพียงแค่จะหาเรื่องเขา?” ซูเหยียนหัวเราะเย้ยหยันแล้วพูดต่อ “ขอโทษด้วยจริงๆ แต่เขาคือเพื่อนของข้า หาเรื่องเขาก็เหมือนกับหาเรื่องข้าด้วย ถ้าจะลงมือก็ทำเลย แต่ถ้าไม่ก็ออกไปอย่ามาทำตัวขวางหูขวางตา”
จวงเหิงซิ่งที่ไม่อยากเสียหน้า จึงได้แต่ยืนกัดฟันกรอดอยู่อย่างนั้น
หวินยู่ หนึ่งในผู้มีฝีมือดีจากสำนักจวี๋ฉีที่ยืนดูเหตุการณ์มาตลอดจึงเข้าพูดไกล่เกลี่ย “ซูเหยียน ปู้อี้เชวียน ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นวิญญาณ ฉะนั้น อย่าทำลายความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันเลยนะ… ที่พวกข้ามาวันนี้ก็แค่อยากมาทำความรู้จักกับพวกศิษย์ปีหนึ่งเท่านั้น ใช่ไหมพี่ซิ่ง?”
เมื่อจวงเหิงซิ่งมีข้ออ้างแล้วจึงรีบพยักหน้าพูดขึ้น “ใช่ หวินยู่พูดถูก… ซูเหยียนเจ้าอย่าเข้าใจผิดข้าเลยนะ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ”
พูดจบ จวงเหิงซิ่งก็ลูบที่ปลายจมูกไปมา “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปเล่นเกมเพื่อสะสางความเข้าใจผิดกันดีไหม? แล้วเปลี่ยนบทสนทน
“เกม”
ซูเหยียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “จวงเหิงซิ่งเจ้าคิดเกมสนุกๆ ออกด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
จวงเหิงซิ่งชี้นิ้วออกไป “เจ้าดูนั่นสิ ตรงนั้นมีเกมปาลูกโป่ง ศิษยคนอื่นๆ ก็กำลังเล่นอยู่ด้วย”
“ปาลูกโป่ง?”
“ใช่ เพียงแค่ยืนอยู่นอกเส้นเหลืองสามเมตร ภายในหนึ่งวินาที ฝ่ายไหนปาลูกโป่งได้เยอะที่สุดเป็นผู้ชนะ” อธิบายจบเขาก็พูดอย่างลำพองใจว่า “เอาไง พวกศิษย์ใหม่กล้าประลองฝีมือกับรุ่นพี่จากสำนักจวี๋ฉีไหมล่ะ?
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ ไปกัน!”
ซูเหยียนไม่สามารถข่มอารมณ์โกรธลงได้ นางดึงแขนเสื้อแล้วลากข้าไป ส่วนถังเชวียหรานและตั้นไถเหยาเดินตามไปแบบจำใจเช่นกัน
…
“ทุกคนเร่เข้ามาๆ ตรงนี้มีอะไรสนุกๆ ให้ดู”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนเรียกขึ้นมา จู่ๆ ศิษย์เป็นร้อยก็รายล้อมเข้ามาเต็มไปหมด
ลูกโป่งบนผนังถูกแขวนไว้แน่นขนัด จากเส้นเหลืองถึงแผงลูกโป่งระยะห่างประมาณสามเมตร ต่อให้กระบี่วิญญาณจะยาวสักแค่ไหนก็เข้าไม่ถึงลูกโป่งแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นคงเหลืออยู่วิธีเดียว คือการใช้พลังลมของกระบี่!
หรือจริงๆ แล้ว จวงเหิงซิ่งจงใจให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก
มีผู้ฝึกฝนวิญญาณหลายคนที่ทั้งชีวิตก็มิอาจบรรลุพลังลมของกระบี่ได้ เพราะการใช้พลังลมของกระบี่ต้องมีพื้นฐานจากพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ซึ่งผู้ฝึกฝนต้องฝึกอย่างหนักและเข้มงวดถึงจะได้ครอบครองพลังลมของกระบี่ และสำหรับศิษย์ของสำนักหมื่นวิญญาณคงมีเพียงหนึ่งในห้าเท่าที่ใช้พลังนี้ได้
“ข้าเริ่มก่อน!”
ซูเหยียนผายมือเพื่อเรียกกระบี่เพลิงกัลป์ออกมา ศิษย์ที่มุงดูอยู่เมื่อเห็นดาบเล่มยาวที่มีชื่อเสียงโจษจันก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เพราะปกติอาวุธวิญญาณมักจะไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก บ้างรูปทรงคล้ายแผ่นเหล็ก บ้างก็เหมือนตะบอง ทว่ากระบี่เพลิงกัลป์เล่มนี้กลับละเอียดประณีต แต่แฝงด้วยความน่าเกรงขามราวกับสมบัติล้ำค่ามาแต่โบราณ
การขับเคลื่อนพลังลมของกระบี่ สำหรับซูเหยียนถือเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะภายในหนึ่งวินาทีนางได้ทำลูกโป่งแตกไปแล้วถึงสี่ใบ แม้แต่ผนังด้านหลังยังมีร่องรอยความร้อนจากเพลิงกระบี่ติดค้างอยู่เลย
“หนิ่งวินาทีสี่ดาบ เพลงกระบี่ของตระกูลซูแข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริงๆ!”
หวินยู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม เช่นเดียวกับเสียงปรบมือเกรียวกราวจากกลุ่มศิษย์
“ต่อไปตาข้าแล้วกัน”
จวงเหิงซิ่งยกแขนรวบรวมพลังเพื่อเรียกใช้อาวุธวิญญาณ “กระบี่ไร้อริ จงออกมา!”
สิ้นเสียงของจวงเหิงซิ่ง เสียงคล้ายระเบิดก็ดังขึ้นก่อนจะมีลมพัดเข้ามาวูบใหญ่ กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือ และนั่นคืออาวุธวิญญาณของเขานั่นเอง
ใต้เสียงคำรามกึกก้อง เปลวเพลิงปรากฏขึ้นที่ปลายกระบี่ มันคือพลังลมของกระบี่ ทันใดนั้น กระบี่ไร้อริก็พุ่งออกไป ก่อนจะแตกกระจายเป็นดาวแฉกเล็กๆ ปักเข้าที่ผนัง หนึ่งในเคล็ดวิชาของตระกูลจวงอย่างเพลงกระบี่ดาวตก
ขณะนั้น ลูกโป่งบนผนังทั้งห้าลูกก็ได้แตกขึ้นพร้อมกัน
“หนึ่งวินาทีห้าดาบ!”
เฉิ่นลั้งหัวเราะพลางพูดอย่างดีใจ “พี่ซิ่ง สมแล้วที่พี่เป็นผู้ที่มีฝีมืออันดับห้าของสำนักจวี๋ฉี!”
ซูเหยียนขมวดคิ้ว เพราะเริ่มรู้สึกไม่สนุกขึ้นมาแล้ว
จวงเหิงซิ่งปรายตามองพลางพูดข่ม “ปู้อี้เชวียน ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องร่วมเกมนี้หรอก เพราะศิษย์ตัวสำรองคงไม่สามารถครอบครองพลังลมของกระบี่ได้แน่”
คำพูดที่เรียบง่าย ทว่ามีแต่คำดูถูกเหยียดหยาม
ข้ายิ้มและตอบกลับแบบไม่เกรงกลัว “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?”
พูดจบก็ก้าวขาไปข้างหน้า มือขวายื่นออกเพื่อเรียกกระบี่คมจันทรา พลังของวิชาลมมังกรเริ่มไหลเวียนอยู่ภายใน เช่นเดียวกับพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาจากกระบี่ ภายใต้เสียงที่คล้ายกับใบไผ่ลู่ลม ปรากฏรอยดาบปลายแหลมพุ่งยาวออกไปกว่าร้อยเมตร นี่คือพลังลมของกระบี่ของข้า มาดูถูกกันแบบนี้ได้อย่างไร อายุสิบสามข้าก็ได้รับพลังลมของกระบี่แล้ว ตอนนี้ข้าอาจจะมีพลังที่สูญหายจากอาการบาดเจ็บไปบ้าง แต่การใช้พลังลมของกระบี่นั้น ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าเลยสักนิด
“เขา… เขาใช้พลังลมของกระบี่แล้ว!” “เป็นไปไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์ตัวสำรองจะใช้พลังลมของกระบี่ได้!?”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ข้าจับจ้องไปที่ลูกโป่งบนผนัง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และพุ่งดาบคล้ายมังกรที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ‘ฟิ่ว ฟิ่ว ฟิ่ว’ เสียงจากพลังลมของกระบี่วิ่งผ่านอากาศ ทำให้ลูกโป่งทั้งเจ็ดลูกแตกออกพร้อมกัน ความเร็วที่ใช้ไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณเลย อาศัยเพียงร่างกายและจิตใจที่มั่นคง และการหลอมรวมที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือการฝึกฝนที่ยากลำบากและเข้มงวดมากว่าสิบปี โดยเฉพาะการฝึกบนถนนแห่งความตาย แล้วหนึ่งวินาทีเจ็ดดาบมันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว
“หนึ่งวินาทีเจ็ดดาบ”
ตั้นไถเหยาได้แต่อ้าปากค้าง “ปู้อี้เชวียน… เจ้านี่เหมือนนักแม่นปืนจริงๆ…”
ข้าหันกลับไปพูดกับนาง “นี่คำชมใช่ไหมเนี่ย?”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
ข้าเก็บกระบี่คมจันทราพร้อมกับพูดกับจวงเหิงซิ่ง “ผลของเกมนี้เป็นอย่างไร เจ้าพอใจกับมันรึเปล่า?”
จวงเหิงซิ่งสีหน้าไม่สู้ดี จะพอใจอะไรได้ล่ะ เขาคงรู้สึกเหมือนถูกก้อนหินทับอกตัวเองแน่ๆ คงคิดไม่ถึงว่าเพลงกระบี่ของข้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หนึ่งวินาทีเจ็ดดาบ ทั่วทั้งใต้หล้าคงมีเพียงไม่กี่คนหากไม่ได้ฝึกฝนเพลงกระบี่มาอย่างดี
การฝึกฝนของข้าถึงแม้ว่าจะไม่ดีเทียบเท่าเมื่อก่อน แต่ด้านความเร็วกลับไม่ได้ลดลงสักเท่าไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าภูมิใจที่สุดอย่างหนึ่ง การฝึกฝนทั้งหมดที่อดทนลำบากมาหลายปี มันไม่หายไปเพราะการสูญเสียเพียงครั้งเดียวนั่นหรอก
จวงเหิงซิ่งพาพรรคพวกอีกสองคนเดินจากไปโดยไม่พูดพร่ำอะไรอีก
“หึ ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมทั้งสามของจวี๋ฉี…”
ตั้นไถเหยากลับมานั่งไขว่ห้างที่เดิม และพูดแบบไม่สบอารมณ์นัก “ไม่ผิดจากที่คนอื่นพูดไว้จริงๆ ว่าเป็นสามสหายผู้โง่เขลาของสำนักจวี๋ฉี!”
ข้าถึงกับหลุดขำให้กับการเปรียบเปรยของนาง
งานเลี้ยงดำเนินมาจนถึงตอนจบสักประมาณสี่ทุ่ม ข้าเริ่มหิวจนแทบยืดตัวไม่ได้ ซูเหยียนที่สังเกตเห็นจึงเสนอตัวเลือกที่ถูกใจข้าทีเดียว “พวกเราไปกินมื้อดึกกันดีไหม?”
“ดีเลย ข้ากำลังหิวอยู่พอดี” ข้าที่เผชิญกับความหิวตอบกลับแบบไม่ลังเล
…
ทั้งสามเดินออกจากรั้วสำนักมาที่ถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาและเงียบสงัด เพราะร้านรวงเริ่มปิดไปบางส่วน แต่ที่แย่กว่านั้นคือซูเหยียนและตั้นไถเหยาดันลืมหยิบกระเป๋าเงินมาด้วย แม้แต่บัตรธนาคารก็ไม่มีติดตัว ลำพังทั้งเนื้อทั้งตัวของข้าก็มีแค่ร้อยกว่าเหรียญหลงหลิงเท่านั้น
ร้อยกว่าเหรียญหลงหลิง ถ้าจะกินให้อิ่มทั้งสามคนคงยากแล้วล่ะ
“อย่างนั้นกินแผ่นแป้งเผากันไหม” “
ซูเหยียนเสนอ “หนึ่งแผ่นห้าเหรียญ หนึ่งร้อยห้าเหรียญก็ซื้อได้ยี่สิบแผ่น ข้ากับอาเหยากินคนละสองแผ่น ที่เหลือก็ให้เจ้ากิน ตกลงไหม?”
ตั้นไถเหยาพูดติดตลก “มือปืนปู้ เจ้านี่กินเยอะเหมือนไม่รู้จักอิ่มเลยนะ!”
ข้าถลึงตาใส่พลางพูดขึ้น “ทำไมเจ้าถึงตั้งฉายาให้ข้าอีกเนี่ย”
“ทำไมล่ะ ก็ข้าสนุกซะอย่าง” ตั้นไถเหยายืดอกคัพ C ท่าทางล้อเลียน
ช่างเถอะจะตั้งอะไรก็ตั้งไป นางมีความสุขก็พอ
เราสามคนในชุดศิษย์ของสำนักเดินมาถึงที่ร้านขายแผ่นแป้งเผา เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าปี ใบหน้ามีรอยย่นจากกาลเวลาที่เปลี่ยนไป กำลังสูบยาเส้นพลางเรียกลูกค้า “เหล่าหวังแป้งเผา หอมอร่อยทั่วเสี่ยหลิน เหลาหวังคนนี้รับประกันเลยว่าอร่อยเหาะ”
“ท่านลุง แผ่นแป้งเผานี่ขายอันละเท่าไร?” ซูเหยียนเดินเข้าไปถาม
“แผ่นละเจ็ดเหรียญ”
“ทำไมแพงจัง!”
“แป้งเผาเที่ยงคืน กินแล้วจะได้นอนหลับสบาย แผ่นละเจ็ดเหรียญห้ามต่อราคา!”
“ท่านลุงดูสิ ข้าน่ารักขนาดนี้ลดราคาให้หน่อยไม่ได้เหรอ” ซู
เหยียนทำท่าทางน่ารักรับกับทรวดทรงที่ได้สัดส่วน ท่วงท่าของนางช่างยั่วยวนราวกับเทพธิดาที่งดงามบนสรวงสวรรค์
“น่ารักแล้วยังไง ข้าก็น่ารักไม่แพ้เจ้ายังต้องออกมาขายแผ่นแป้งเผาเลย!”
ข้ายื่นมือไปห้ามซูเหยียนไว้“ซูเหยียน เจ็ดเหรียญก็เจ็ดเหรียญกินน้อยลงนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก”
ซูเหยียนท่าทีไม่พอใจ อยากกลับไปเอาเงินมาทุบเขาให้ตายไปเสียจริง
กลายเป็นข้าที่หอบแผ่นแป้งเผาเดินกินไปตลอดทาง ส่วนซู
เหยียนและตั้นไถเหยาหยิบไปคนละแผ่น นี่ช่างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงัดแต่ก็งดงามในเวลาเดียวกัน
…
เมื่อมาถึงโรงเกลากระบี่ ข้าก็คือคนเกลากระบี่เหมือนเดิม การได้อยู่กับคนสูงศักดิ์ ไม่ได้แปลว่าตัวเองจะต้องสูงส่งไปด้วย เพราะสิ่งเดียวที่วัดคุณค่าของเราก็คือศักยภาพที่แท้จริงของคนคนนั้น!
วันนี้ไม่ได้เข้านอนเร็วจึงฝึกเพลงหมัดสายฟ้าต่อสักสองชุด ต่อด้วยการเข้าฌานเพื่อฝึกพลังวิชาลมหายใจมังกร ตามที่พี่เสวียนยินเคยพูดไว้ว่าต้องฝึกพลังวิชาลมหายใจมังกรจนถึงขั้นหกเพื่อเป็นพลังพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้ได้ก่อน
เมื่อรากฐานมั่นคงจึงจะเริ่มฝึกเคล็ดวิชาสงครามของตระกูลปู้ได้เพราะการต่อสู้ และการฝึกฝนวิชาลมหายใจมังกรต้องอาศัยเคล็ดวิชาสงครามด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรจึงบรรลุขั้นที่ห้าได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการรู้สึกถึงพลังที่เย็นเยือกกำลังพลุ่งพล่านขึ้นภายใน ชั่วพริบตาเท่านั้น พลังงานที่ไร้รูปร่างก็ปรากฏและห่อหุ้มร่างกายไว้ ก่อนจะกลายเป็นชุดเกราะเสี้ยวจันทรา
ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังที่ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา!
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “ตำนานกระบี่จอมราชัน”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/5108
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)