ณ มุมหนึ่งของเทือกเขาลั่วเซี่ย ข้ายืนอย่างมั่นคงในกระบวนท่ามังกรพันศิลา กลิ่นอายของพลังปกคลุมไปทั่วทุกอณูและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพลังที่แข็งแกร่งดุจขุนเขา ซึ่งการทำแบบนี้ต้องอยู่ในระดับเซียนของกระบวนท่ามังกรพันศิลาเท่านั้น
“ไม่เลว” เฉิ่นปู้หยุนยืนเอามือไพล่หลังฉีกยิ้มอย่างพอใจ “มีศิษย์ในสำนักหมื่นวิญญาณเกินกว่าสามพันคนที่สามารถตั้งกระบวนท่ามังกรพันศิลาได้ แต่มีไม่กี่คนที่ทำได้แข็งแกร่ง หนักแน่น และฝึกฝนจนมาถึงขั้นสูงขนาดนี้ได้!” เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงในท่ามังกรพันศิลา ทำให้พลังก่อตัวและปะทุออกมาอย่างรวดเร็ว เท้าข้างที่ยันพื้นค่อยๆ ขยับให้อยู่ในท่าที่แข็งแรง แม้จะต้องย่างก้าวออกไปบ้าง แต่กระบวนท่าของเขาก็ยังน่ายำเกรงและหนักแน่นเหมือนเดิม ช่างหาได้ยากจริงๆ
เขามองข้าพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ท่ามังกรพันศิลาของข้าจะไม่เหมือนกับคนอื่นตรงที่ขยับได้ การโจมตีและล่าถอยของเพลงขาเมฆาหมอกต้องมีทักษะที่ตั้งอยู่บนการไม่ยอมแพ้ และจะใช้เพียงห้ากระบวนท่าจากเท้าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งเพลงขาในการการเคลื่อนไหวด้วย ซึ่งข้าได้ดัดแปลงมาจากกระบวนท่ามังกรพันศิลา ดูให้ดีๆ ว่าต้องหนักแน่นและมั่นคง!”
ข้าจับตาดูทุกกระบวนท่าและจดจำจนขึ้นใจ และเคลื่อนไหวตามทีละเล็กทีละน้อย และเป็นไปตามคำเล่าลือว่าสาเหตุที่เพลงขาเมฆาหมอกเป็นหนึ่งในใต้หล้าเพราะแก่นแท้ของรากฐานการย่างก้าวซึ่งเก็บสะสมพลังเอาไว้ เมื่อถึงเวลาและความเร็วที่เหมาะสมก็จะระเบิดพลังออกมาจนคู่ต่อสู้ไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงเวลาจะเริ่มดึกขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าก็เพิ่งเรียนได้เพียงหนึ่งในสามกระบวนท่า และไม่มีทีท่าว่าจะเข้าขั้นกลางเลยสักนิด อาจเป็นเพราะเพลงขาเมฆาหมอกมีกระบวนท่าที่พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้ หลายพันอย่าง ต่อให้ข้ามีพรสวรรค์ของการดูดกลืนก็ไม่อาจเรียนทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น “ท่านอาจารย์ พรุ่งนี้ตอนเย็นข้าได้รับการเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงศิษย์ใหม่ จึงจะขอลาหยุดสักวันขอรับ” ข้าลาล่วงหน้าไว้ก่อนเพราะไม่อยากจะให้เขารอเก้อ
เฉิ่นปู้หยุนตอบกลับแบบไม่มากความ “ในเมื่อเป็นโลกของคนหนุ่มอย่างเจ้าก็ไปสิ”
“ขอรับ! ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
“ช้าก่อน ปู้อี้เชวียน”
ข้าชะงักแล้วหันกลับไปถาม “ท่านยังมีอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
เฉิ่นปู้หยุนโยนของอย่างหนึ่งมาให้ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชาของข้าเพียงคนเดียว และข้าเองก็ไม่รู้จะให้อะไรจึงคิดว่ายกมันให้เจ้าน่าจะดีที่สุด”
ขารับของนั่นมาก็พบว่าเป็นปลอกแขนสีทองแดงที่ดูมีอายุพอสมควร แต่เมื่อสัมผัสถูกฝ่ามือก็รับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยม และสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในเกราะวิญญาณ!! “ท่านอาจารย์ นี่มัน…”
“ข้าได้มาจากชั้นที่ห้าของหุบเขาหลิงหยุนแต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร เลยตั้งชื่อว่าปลอกแขนทองแดง ข้าลองให้คนที่ร้านขายอาวุธมาดูแล้ว เขาบอกว่าเป็นอาวุธระดับทองใช้สวมไว้ที่ข้อมือขวา สามารถป้องกันอาการบาดเจ็บและเพิ่มพลังการโจมตีด้วยมือขวาให้เจ้าได้ด้วย!” ข้าตะลึงเมื่อได้ยิน เพราะอาวุธระดับทองนี่เป็นถึงอาวุธชั้นสูงระดับอาวุธของสหพันธ์!
เมื่อเขาเห็นว่าข้ากำลังลังเลจึงพูดเชิงรบเร้า“รับไว้เถอะ เจ้าเป็นถึงศิษย์ของข้าแถมยังเป็นน้องของปู้เสวียนยินอีกต่างหาก มีมันไว้จะได้ไม่น้อยหน้าใคร”
ถึงแม้อาวุธวิญญาณชิ้นนี้จะมีสภาพไม่ค่อยดีนัก แต่เป็นถึงของดีระดับประเทศที่มีราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนแปดหมื่นเหรียญ แล้วจะมาให้กันง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ? พอได้รู้แบบนี้แล้ว ข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธก่อนจะโค้งคำนับเป็นการขอบคุณ “ข้าต้องขอบคุณท่านมาก และวางใจได้เพราะข้าจะใช้ในทางที่ดีแน่นอน”
“อืม ไปเถอะ แล้วอย่าลืมฝึกซ้อมบ่อยๆ ล่ะ อย่ามัวแต่ขี้เกียจ”
“ขอรับ!”
หลังจากลงจากเขา ข้าก็นำปลอกแขนมาใส่ไว้ที่ข้อมืออย่างที่เฉิ่นปู้หยุนบอก และใช้แขนเสื้อคลุมไว้อีกชั้นเพื่อเก็บซ่อนจากสายตาผู้อื่น เมื่อได้สวมใส่ก็เหมือนจะมีพลังเพิ่มขึ้นกว่าสองส่วน ของล้ำค่าแบบนี้ มีแต่พวกตระกูลสูงศักดิ์อย่างพันธมิตรนักปราชญ์ขาว และดินแดนกาฬวาตเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครอง แต่เฉิ่นปู้หยุนผู้ที่ไม่ได้มาจากชนชั้นสูง ซึ่งกว่าจะได้มาคงยากลำบากและอันตรายไม่น้อย ต่างจากเรื่องเล่าของเขาที่ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด การได้ครอบครองปลอกแขนทองแดงชิ้นนี้ นอกจากจะเพิ่มพละกำลังจากการถูกแผดเผาไปแล้ว จากคำบอกเล่าแต่ครั้งโบราณที่ว่า อาวุธวิญญาณจะช่วยปกป้องผู้เป็นนาย ดังนั้น เมื่อข้าสวมอาวุธนี้ไว้ระหว่างการฝึกฝนหรือบำเพ็ญในครั้งต่อไปก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น พอกลับมาถึงที่พักและฝึกฝนวิชาลมหายใจมังกรอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลับไป…
…
วันต่อมา ตั้งแต่ช่วงเช้าจนตะวันบ่ายคล้อย ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น กระทั่งความมืดได้คืบคลานเข้ามาอีกครั้ง ทั่วทั้งสำนักถูกปกคลุมไปด้วยแสงไฟส่องสว่าง แม้ประเทศของเราจะมีการผลิตไฟฟ้า แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่สำนักหมื่นวิญญาณกลับมีแหล่งจ่ายไฟที่ให้แสงสว่างเพียงต่อตลอดทั้งปี จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามยามค่ำคืนประจำเมืองหลินเสี่ยเฉิงแห่งนี้ และเมื่อถึงเวลานัดหมาย ศิษย์ผู้หญิงก็จะมารวมตัวกันที่ใต้หอพักในเวลาหนึ่งทุ่มตรง
ข้าเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ของสำนัก แม้คำว่า ‘สำรอง’ จะดูขัดตา แต่ไม่ว่าอย่างไรไก่ย่อมงามเพราะขน ส่วนคนก็ต้องงามเพราะแต่งอยู่ดี ในตอนนี้ข้ารับรู้ได้ว่าตัวเองใจเย็น สุขุมมากขึ้นตั้งแต่ฝึกฝนวิชาลมหายใจมังกรขั้นที่ห้า กอปรกับหน้าตาและรูปร่างที่ไม่เป็นสองรองใครแล้ว รับรองว่าต้องเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในสำนักแน่นอน
ในช่วงค่ำ สายลมเย็นเริ่มพัดโชยอ่อนๆ ศิษย์หญิงในหอพักต่างทยอยลงมาพร้อมกับชุดสวยเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง ได้ยินว่ามีศิษย์ของสำนักกว่าหลายร้อยคนเข้าร่วมงาน ดังนั้นน่าจะได้เจอคนที่ไม่รู้จักอยู่บ้าง
ข้ายืนอยู่ใต้ร่มไม้ข้างหอพัก ซึ่งเป็นจุดรวมสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรจากหญิงสาวที่เดินผ่านไปมาเท่าไรนัก และไม่ไกลกันยังมีหนุ่มๆ จากหลายสำนัก ทั้งสำนักสีเลี้ยน สำนักจวี๋ฉี สำนักจิงอิง และสำนักที่อยู่ลำดับต่ำสุดอย่างสำนักขั้นสูง ยิ่งศิษย์คนใดที่มีการบำเพ็ญต่ำ การจะหาคนรักสักคนจึงเป็นเรื่องยาก แต่ที่น่าแปลกคือคนพวกนี้ชอบคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งจนมองข้ามการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่การพลอดรักไร้สาระแบบนี้ และการที่ศิษย์ตัวสำรองอย่างข้ามายืนอยู่ท่ามกลางศิษย์ระดับต้นๆ ของสำนัก จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะสงสัยว่าข้ามารอใครที่นี่ ผ่ไม่นานคนที่คุ้นเคยอย่างซูเหยียนและตั้นไถเหยาก็ลงมาจากหอพัก แต่สิ่งที่ทำให้ข้าต้องแปลกใจคือนางทั้งสองอยู่ในชุดของสำนักแทนที่จะใส่ชุดสวยเหมือนคนอื่นๆ
แม้ว่าจะเป็นชุดของสำนักที่ทุกคนใส่กัน แต่พอมาอยู่บนตัวของนางกลับยิ่งดูน่ารัก อ่อนหวานชวนหลงใหลยิ่งนัก “ว่าไง… เจ้าคนกินจุ!” ซูเหยียนร้องเรียกพร้อมโบกมือ
ข้าเองก็ทำแบบเดียวกัน “พวกเจ้าลงมาแล้วเหรอซูเหยียน ตั้นไถเหยา”
ทั้งคู่เดินเข้ามาหาข้าด้วยท่าทีสนิทสนมจนคนอื่นๆ ต่างพากันสงสัย และไม่คิดว่าสาวงามที่มีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักอย่างซูเหยียนและตั้นไถเหยา ทำไมถึงยอมลดตัวมาใกล้ชิดกับศิษย์สำรองอย่างข้า สักพักพวกเราก็เดินออกมาโดยปล่อยให้พวกนั้นงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่เดิม
กระทั่งเดินมาหยุดที่ทางเลี้ยวมุมหนึ่ง ซึ่งมีกลุ่มชายในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าเคร่งขรึมยืนดักอยู่ เมื่อข้าใช้ตาทิพย์เพ่งดูจึงรู้ว่ากลุ่มคนพวกนี้เปี่ยมไปด้วยพลังที่ยากเกินคาดเดา ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ของลูกเสนาบดีแห่งสหพันธ์หลงหลิงอย่างซูเหยียนแน่นอน
ซูเหยียนหยุดยืนกอดอกแล้วถามอย่างจนปัญญา “พวกท่านจะตามข้าไปที่งานเลี้ยงด้วยสินะ ท่านลุงหลง?” ชายวัยกลางคนไว้หนวดยาว ท่าทางแข็งแกร่งที่สุดก้าวออกมและโค้งคำนับ “คุณหนูใหญ่ คุณหนูตั้นไถเหยา ได้โปรดให้อภัยที่พวกเรามากะทันหันด้วย เพราะเป็นคำสั่งของท่านเสนาบดีให้เรามาดูแลความปลอดภัยของคุณหนู ซึ่งในงานเลี้ยงวันนี้อาจไม่ได้มีแค่ศิษย์ใหม่เท่านั้น แต่จะมีคนจากสำนักชั้นในและศิษย์จากสำนักจวี๋ฉีเข้าร่วมด้วย ยิ่งคนเยอะก็จะยิ่งอันตราย ฉะนั้น ขอให้คุณหนูอนุญาตให้พวกเราติดตามไปอารักขาด้วยเถอะขอรับ!” เขาพูดน้ำเสียงเรียบแต่มีเหตุผล ซูเหยียนยิ้มอย่างจำยอม “ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนว่าห้ามเข้ามาขัดขวางข้าเป็นอันขาด เพราะข้ามีสิทธิ์ใช้ชีวิตอย่างอิสระในสำนักหมื่นวิญญาณแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นท่านพ่อก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”
“ขอรับ ท่านวางใจได้”
“อืม ไปกันเถอะ”
…
งานเลี้ยงจัดที่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับประตูฝั่งใต้ เราทั้งสามเดินเคียงกันมาโดยมีองครักษ์ทั้งสี่คนเดินตามอยู่ด้านหลัง และแน่นอนว่าพฤติกรรมที่ผิดแปลกจากคนทั่วไปย่อมถูกเพ่งเล็งจากคนอื่นเสมอ ซูเหยียนได้แต่กัดฟันทนรับสายตาพวกนั้นไว้เพราะทั้งหมดคือคำสั่งของท่านพ่อ คงไม่มีอะไรดีกว่าการอดทนและยอมรับ
“พวกเจ้ามากันแล้วเหรอ ซูเหยียน”
ชายสองคนในชุดของสำนักจิงอิงยิ้มอย่างเป็นมิตร แววตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความหลงใหลและชอบพอในตัวซูเหยียน แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของหญิงงามที่ทั้งสวย ฉลาด และมีชาติตระกูล ซึ่งเป็นที่หมายปองของชายอื่น จากสายตาที่ชื่นชม จู่ๆ ก็ต้องมาสะดุดเพราะข้า
“ท่านนี้คือ?”
ซูเหยียนผายมือแนะนำก่อนจะพูดขึ้น “เขาเป็นเพื่อนของข้าเอง และก็เป็นศิษย์ใหม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเข้าไปได้หรือเปล่า?”
“ได้ เข้าได้แน่นอน…”
ทั้งสองจ้องมาที่ข้าด้วยแววตาแสดงความเคารพและอิจฉาเล็กๆ ดูเหมือนซูเหยียนน่าจะคบเพื่อนแค่ไม่กี่คน ดังนั้น การที่ถูกนางเรียกว่าเพื่อนจึงถือเป็นเกียรติของข้าไปด้วยเหมือนกัน
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ตั้นไถเหยาว่าแล้วกระทบไหล่ข้าเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย “งานวันนี้มีแต่สาวสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ แถมอันดับสาวงามทั้งสิบของปีนี้ยังเป็นศิษย์ใหม่ตั้งสี่คนแน่ะ!”
ข้าหัวเราะก่อนจะตอบไป “ถึงอย่างไรข้าก็รู้จักแค่เจ้ากับซูเหยียนอยู่ดี”
ตั้นไถเหยาหัวเราะเล็กน้อยเผยรอยยิ้มชอบใจว่าข้ารู้จักพูดไม่เบาเหมือนกัน
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “ตำนานกระบี่จอมราชัน”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/5108
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)