หาวววว…
พอตื่นขึ้นในตอนเช้าก็รู้สึกได้ถึงพลังอุ่นๆ บางอย่างไหลเวียนอยู่ตรงหน้าอกและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สักพักมันก็พุ่งเหมือนลำน้ำที่เชี่ยวกรากมาถึงส่วนหัวและทะลุออกจากกระหม่อมกลายเป็นเส้นบางนปกคลุมอยู่จนหนาทึบ ความรู้สึกที่อึดอัดเกิดขึ้นที่หน้าอกก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเงาของตัวเองในกระจกมีเส้นพลังสีแดงพุ่งออกมาแล้วซึมหายกลับเข้าไป
แสงวิญญาณสวรรค์!!
ตำราต่างๆ เขียนอธิบายไว้มากมายว่าเมื่อใดที่เห็นลำแสงนี้เกิดขึ้น แสดงว่าผู้ฝึกฝนได้ปลุกพลังสวรรค์สำเร็จแล้ว!
ปั้ง!…
ประตูถูกผลักออกจนเกิดเสียง ก่อนที่ปู้เสวียนยินจะปรี่เข้ามาแล้วถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวเชวียน ในที่สุดเจ้าก็ปลุกพลังสวรรค์สำเร็จแล้วใช่ไหม!?”
ข้าพยักหน้ารับ “อืม ดูเหมือนว่าน้ำยาพันวิญญาณจะช่วยให้พลังสวรรค์ของข้าถูกปลุกขึ้นมาแล้วล่ะ! ”
“เร็วเข้า รีบเรียกพลังสวรรค์ออกมา เพราะการใช้พลังในครั้งแรกสำคัญมาก!”
“หืม?” ข้ารู้สึกงุนงงกับสิ่งที่นางพูดก่อนจะตอบไป “ตอนนี้ข้าแค่รู้สึกว่าจุดวิญญาณถูกเปิดเท่านั้น ยังไม่รู้สึกถึงพลังสวรรค์อย่างที่ท่านว่าเลย”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ปู้เสวียนยินนั่งลงข้างๆ พลางตรวจดูร่างกายของข้าคร่าวๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมถึงไม่มีพลังสวรรค์เกิดขึ้น? หรือจะเป็นพรสวรรค์แบบตอบสนอง?”
พลังสวรรค์แบ่งออกเป็นสองอย่างคือ หนึ่ง พลังพรสวรรค์แบบต่อสู้ คือพลังที่สามารถควบคุมการใช้ได้เอง เช่น การควบคุมเวลาของ
ซูเหยียน การเพิ่มความแข็งแกร่งของตั้นไถเหยา และการทำลายพลังคู่ต่อสู้ของพี่เสวียนยิน ส่วนพรสวรรค์แบบตอบสนองคือพลังที่เกิดหลังจากถูกโจมตี หรือหลังจากที่คู่ต่อสู้ใช้พลังแล้ว มีบันทึกไว้ในตำราว่ามีประสิทธิภาพด้านการเคลื่อนไหวได้เร็ว ความฉลาด การรู้ล่วงหน้า การยับยั้ง หรือจะเป็นความเข้มแข็งชั่วขณะอะไรทำนองนั้น
“เป็นพวกความเร็วหรือเรื่องความเฉลียวฉลาดอะไรแบบนั้นหรือเปล่า เจ้ารู้สึกได้ใช่ไหม?” ดูเหมือนนางจะตื่นเต้นกว่าข้าเสียอีก
ข้ากระโดดลงจากเตียงรวบรวมพลังไว้ที่หมัดและซัดออกไป แต่ก็ว่างเปล่า เพราะไม่มีพลังสวรรค์ที่ว่าเลยสักนิด จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกไป “ข้าไม่รู้สึกถึงพลังเลย”
ปู้เสวียนยินว่าพลางคิ้วขมวด “ช่างเถอะ ไม่เป็นไร ในเมื่อปรากฏแสงวิญญาณสวรรค์แล้ว แสดงว่าเจ้าปลุกพลังสวรรค์ได้สำเร็จ เดี๋ยวข้าจะให้สวี่ลู่ไปทำหนังสือเลื่อนขั้นให้เจ้าเอง”
“ไม่” ข้าร้องห้ามแล้วคว้ามือนางไว้ “ข้ายังไม่รู้เลยว่าพลังสวรรค์ของตัวเองคืออะไร ท่านเลื่อนขั้นไปก็มีแต่คนหัวเราะเยาะ ถ้าเป็นแบบนั้นขอให้ข้าฝึกฝนต่อในฐานะศิษย์ตัวสำรองแบบเดิมดีกว่า”
“ถ้างั้น… เอาแบบนี้ก็ได้”
ปู้เสวียนยินรับปาก “แล้วตอนนี้ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกถึงการปลูกถ่ายกระดูกใหม่บ้างหรือยัง?”
การปลูกถ่ายกระดูกเป็นระดับสูงที่สุดของขั้นหลอมปราณ เมื่ออยู่ในขั้นนี้จะมีการเปลี่ยนกระดูกทั้งหมดเพื่อให้ผู้ฝึกฝนแข็งแกร่ง สามารถใช้พลังได้ดุเดือดและรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนทุกคนเคยผ่านช่วงเวลานี้มาแล้วทั้งนั้น หากทำสำเร็จพลังของคนคนนั้นจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
“ไม่มีเลย” ข้าตอบอย่างจนปัญญาแล้วยิ้มขึ้น “เหมือนร่างกายของข้าจะกลายเป็นท่อนไม้ที่ตายแล้วเสียอย่างงั้น เพราะไม่รับรู้ถึงอะไรเลย”
หรือพลังสวรรค์ของข้าจะเหมือนกับซ้งเชียนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อะไรมันจะซวยทั้งพี่ทั้งน้องขนาดนี้ พอนึกได้แบบนี้ก็ได้แต่ยิ้มแห้งเท่านั้น
ปู้เสวียนยินถามพลางขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าฝึกเองจะไม่ได้ผล คงต้องพึ่งพลังอย่างอื่นเพื่อให้เจ้าเปลี่ยนกระดูกและฝึกจนบรรลุขั้นหลอมปราณแล้วล่ะ!”
“พลังอย่างอื่น?” ข้าเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีสักเท่าไร
ปู้เสวียนยินยิ้มอย่างมีเลศนัย “ใช่… พลังอย่างอื่น หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเจ้าจะต้องถูกอัด! เมื่อถูกพลังอนทำร้าย ร่างกายก็จะมีการโต้ตอบและปลุกพลังที่หลับไหลให้ตื่นขึ้น หลังจากนั้นฤทธิ์ของน้ำยาพันวิญญาณก็จะเกิดผล วิธีนี้น่าจะทำให้เจ้าเปลี่ยนกระดูกได้เร็วที่สุด!”
ข้าได้ยินแบบนั้นยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย “ท่านไม่ได้คิดจะลงมือซัดข้าเองใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ ข้าจะทำร้ายเจ้าลงคอได้อย่างไร” นางพูดเหมือนกำลังข่มอารมณ์พลางยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่ข้าจะแนะนำอาจารย์ดีๆ ให้เจ้าได้คนหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องทำให้เขารับเจ้าเป็นศิษย์ให้ได้”
“อาจารย์ดีๆ ใครกัน?”
ปู้เสวียนยินยืดตัวตรงเผยให้ส่วนนูนใต้ร่มผ้านูนเด่นขึ้นกว่าเดิม “หนึ่งในปรมาจารย์นักรบวิญญาณสิบเจ็ดท่านของสำนักหมื่นวิญญาณ และได้รับการจัดอันดับมังกรพยัคฆ์เป็นลำดับที่เจ็ด เฉิ่นปู้หยุนถึงแม้จะหัวแข็งไม่ฟังใครแต่ก็ได้รับฉายาว่ามีเพลงขาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาขั้นหนึ่งอย่างเพลงขาของเขาได้ เจ้าก็ใช้ประโยชน์จากมันได้เชียวล่ะ”
พลังวิญญาณบนแผ่นดินใหญ่หลงหลิงล้วนมาจากเจ็ดเทพทั้งสิ้น
เทพทั้งเจ็ดอาศัยอยู่ที่วิหารเทพ สถานที่ที่เหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้ฝึกฝนทุกคนต่างใฝ่หา โดยวิหารจะเป็นผู้กำหนดกฎระเบียบทุกอย่าง และหนึ่งในนั้นคือการแต่งตั้งผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งให้เป็นเทพศาสตราวุธ ซึ่งในสหพันธ์หลงหลิงมีทั้งหมด 33 ท่านที่ได้รับฉายานี้ กลายเป็นบุคคลที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือ และเป็นที่พึ่งของประเทศ ซึ่งพี่เสวียนยินก็เป็นหนึ่งในนั้น
และการจัดอันดับจอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าก็เป็นสิ่งที่วิหารเจ็ดเทพแต่งตั้งขึ้นมารองจากเทพศาสตราวุธ
โดยการจัดอันดับจะแบ่งเป็นอันดับมังกรและอันดับพยัคฆ์ ซึ่งอันดับมังกรมีทั้งหมด 77 คน และอันดับพยัคฆ์ 128 คน โดยคัดเลือกจากพลังและศักยภาพ ซึ่งผู้ที่ถูกคัดเลือกต่างมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง ตั้งแต่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาจนถึงคนที่อยู่ในตระกูลสูงศักดิ์ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทั้งศักยภาพและพลังของพรสวรรค์ที่โดดเด่น
เฉิ่นปู้หยุนอยู่ในลำดับที่เจ็ดของอันดับมังกร แสดงว่าเขาต้องเก่งมากแน่ๆ เพราะทั้งชื่อเสียงและตำแหน่งต่างเป็นสิ่งที่ยากจะเอื้อมถึง
“แล้วทำไมท่านถึงไม่ลงมือเองล่ะ?” ข้าถามขึ้น
ปู้เสวียนยินจัดทรงผมแล้วหันกลับมาอธิบาย “วรยุทธ์ของข้าอยู่ในขั้นสูง สภาพของเจ้าตอนนี้ไม่มีทางรองรับพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ฉะนั้นเจ้ายังมีคุณสมบัติไม่มากพอที่จะเรียนกับข้า และอีกหนึ่งเหตุผลคือต้องหาคนที่ซัดได้ไม่ถึงตายเพื่อกระตุ้นพลังในตัวเจ้า ข้าตัดใจอัดเจ้าไม่ลง แต่ว่าเฉิ่นปู้หยุน…หึๆ เจ้านั่นไร้ความรู้สึกไม่ว่ากับใครไม่มีทางอ่อนข้อให้แน่นอน และที่สำคัญถ้าเขาสอนวิชาเพลงขาเมฆาหมอกให้เจ้าก็ยิ่งดีเข้าไปอีก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิชาขั้นสองแต่ก็เป็นกังฟูขั้นต้นที่หาได้ยาก ถ้าเรียนแล้วจะต้องมีประโยชน์กับเจ้าในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน”
นางหัวเราะพลางตบบ่าของข้าสองสามที “แค่ไม่ทำให้ข้าขายหน้าก็พอ และต้องเป็นศิษย์ของเฉิ่นปู้หยุนให้ได้ด้วย หลังจากเรียนเพลงขาเมฆาหมอกสำเร็จ เขาก็จะหมดประโยชน์”
พอได้ยินความคิดที่นางพรั่งพรูออกมาก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “ได้”
“นำจดหมายฉบับนี้ไปให้เฉิ่นปู้หยุนแล้วเขาจะรู้ และยอมรับการฝึกแบบท้าทายครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“ฮะ การฝึกแบบท้าทาย?” ข้าถามอย่างฉงน
ปู้เสวียนยินมองอย่างเจ้าเล่ห์ “เด็กน้อย เจ้าคิดว่าเฉิ่นปู้หยุนเป็นคนยังไงถึงได้ยอมสอนวิชาที่ทุกคนในสำนักเรียนกัน แต่กลับไม่รับลูกศิษย์เลย เพลงขาเมฆาหมอกเป็นวิชาที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ใครก็เรียนได้ คนที่ได้เป็นศิษย์ของเขาคนล่าสุดก็เมื่อเจ็ดปีก่อนนู้นแล้ว…”
ข้าพยักหน้าพลางรับจดหมายก่อนจะถามอีกฝ่าย “แล้วเงื่อนไขการรับศิษย์ของเฉิ่นปู้หยุนคืออะไร?”
ปู้เสวียนยินยิ้ม “เงื่อนไขคือ… จะต้องรับกระบวนท่าทั้งสิบของเขาให้ได้ แต่เพราะเขาเป็นปรมาจารย์นักรบวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ตอนนี้จึงยังไม่มีใครรับได้ถึงสิบกระบวนท่าสักคน”
“ข้ารู้สึกเหมือนตกหลุมพรางของท่านอีกแล้ว”
“วางใจเถอะน่า ข้ารักเจ้าขนาดนี้จะทำแบบนั้นทำไม”
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย!”
…
หลังจากทำงานมาทั้งวันและกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ข้าก็นำข้าวที่เหลือไปให้พวกลูกเจี๊ยบกินและเข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าง่ายๆ เพื่อเตรียมตัวไปพบท่านปรมาจารย์นักรบวิญญาณอันดับหนึ่งสักหน่อย แต่ก็ต้องรอจนกว่าซูเหยียนจะมาเสียก่อน
เข็มนาฬิกาเดินวนมาถึงเวลาสองทุ่มตรง ซูเหยียนก็เดินเหงาหงอยมาคนเดียวพร้อมกล่องข้าวในมือ
“ซูเหยียน” ข้าออกมารับทำให้นางแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“คืนนี้ข้ามีธุระ คงจะสอนเจ้าไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ่อ” นางแสดงสีหน้าผิดหวังชั่วครู่ก่อนจะถามพลางยิ้ม “ดึกป่านนี้ เจ้าจะออกไปไหนอีก?”
“ไปหาอาจารย์”
“หืม?” นางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “อาจารย์ผู้ที่ปู้อี้เชวียนยอมเสนอตัวเป็นศิษย์จะต้องเก่งมากแน่ๆ ใครกันล่ะ?”
“เฉิ่นปู้หยุน”
“ฮะ?” นางชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เขาทั้งอารมณ์ร้ายและทำหน้าไม่รับแขกด้วย เจ้าจะยอมเป็นศิษย์ของเขาจริงๆ เหรอ? ได้ยินว่าศิษย์ที่อยากให้เขาเป็นอาจารย์ถูกซัดจนเละกลับมาทุกที…”
“ข้าไม่เป็นแบบนั้นหรอกน่า”
“อย่างนั้นเหรอ…” นางว่าแล้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยได้ไหม?”
“ถ้าจ้าอยากไปดูข้าโดนอัดจนน่วมก็ไปสิ”
“ได้ งั้นข้าจะไปด้วย!”
“อืม”
ข้ารีบกินอาหารแล้วออกเดินทางไปยังที่อยู่ของเฉิ่นปู้หยุน
เฉิ่นปู้หยุนไม่ได้พักในบ้านที่สำนักจัดไว้ให้ แต่กลับทำตัวแปลกแยกออกไปอาศัยอยู่บนเขาหลังสำนักกับพวกนกกาอย่างมีความสุข
…
ทั้งสองเดินไปบนทางเดินเล็กๆ แม้จะดึกดื่นขนาดนี้แต่ยังมีศิษย์ของสำนักไม่น้อยกำลังฝึกฝนกันอยู่ในสนาม และแน่นอนว่ามีทั้งศิษย์ชายและหญิงกำลังหยอกล้อออเซาะกันอยู่ในความมืด เพราะทางสำนักไม่ได้ห้ามเรื่องรักใคร่ของศิษย์ เรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นอย่างเปิดเผย ขนาดที่ว่าได้ยินเสียงหยอกเอินลอยตามลมมาเป็นระยะ
“ไม่เอา จะทำที่นี่ไม่ได้นะ”
“อ่า… อืม…”
ใบหน้าของซูเหยียนเริ่มแดงระเรื่อ ซึ่งข้าต้องแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรแล้วพูดขึ้น “ซูเหยียน เจ้าเป็นถึงลูกสาวของเสนาบดี ทำไมถึงไม่มีองครักษ์สักคนล่ะ แบบนี้ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่มีเหรอ? เจ้าแค่มองไม่เห็นต่างหากล่ะ…” นางพูดอย่างจนปัญญา แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบการถูกจับตามองทุกฝีก้าวอย่างนี้ และคงไม่มีใครอยากจะมีชีวิตนี้เหมือนกัน
พอได้ยินแบบนี้ก็รู้ทันทีว่าทุกครั้งที่นางไปที่โรงเกลากระบี่ คงไม่ได้มีเพียงสายตาแค่คู่เดียวที่คอยจ้องมองพวกเราอยู่ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แสดงว่าต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
น่ากลัวชะมัด
ซูซีเฉิงพ่อของซูเหยียนไม่ใช่แค่เสนาบดีของสหพันธ์ แต่ยังเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรนักปราชญ์ขาว และเป็นหัวหน้าคนเดียวในแผ่นดินใหญ่หลงหลิงในระดับจักรพรรดิ พลังอำนาจที่น่าเกรงขามอย่าง ‘องครักษ์โลหิตมังกร’ ของพันธมิตรนักปราชญ์ขาวอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของซูซีเฉิง มีคำเล่าลือว่าผู้ที่สร้างองครักษ์โลหิตมังกร เป็นหนึ่งในผู้ปกป้องของเจ็ดเทพ เท่ากับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ และคนที่คอยปกป้องซูเหยียนก็น่าจะเป็นคนขององครักษ์โลหิตมังกรกว่าครึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุกอยู่เหมือนกัน บางทีข้าอาจจะโดนจับตามองอยู่ก็ได้
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่กลัวไปเลยน่า”
เมื่อนางเห็นท่าทีของข้าก็เผลอกับปล่อยหัวเราะออกมา “ท่านลุงหลงเป็นคนดีและอัธยาศัยดีจะตายไป เขาไม่ทำร้ายเจ้าหรอก อีกอย่างเจ้าเป็นถึงน้องชายของเทพศาสตราวุธหญิงปู้เสวียนยินด้วย”
“ฮะ?” ข้าชะงักเล็กน้อย นางไปรู้เรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับพี่เสวียนยินตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ซูเหยียนที่เหมือนจะเดาใจได้จึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกน่า ข้าไม่บอกคนอื่นแน่นอน”
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
“ข้าก็ขอบใจเจ้าเหมือนกัน”
ให้ตายเถอะ ช่างเป็นศิษย์ที่มีมารยาททั้งสองคนจริงๆ
ติดตามอัพเดทก่อนใคร “ตำนานกระบี่จอมราชัน”
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/5108
120 บาท/เล่ม (หากนับตอนฟรี จะเฉลี่ยเล่มละ 80-90บาท)