“ความหมายของคุณหนูฮวาคือให้เขาอยู่ที่ตำหนักอ๋องต่อไป?” ซูฉีฉีมิได้ตอบแต่ถามกลับไป สีหน้านางนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ทำเพียงแค่มองไปที่ฮวาเชียนจือนิ่งๆ
นางมิได้สนใจโทสะของฮวาเชียนจือแม้แต่น้อย แค้นเก่าของนางกับฮวาเชียนจือนั้นยังมิได้คิดบัญชีให้เรียบร้อย นางมิได้เอ่ยขึ้นมิได้แปลว่านางจะปล่อยให้มันผ่านไป
ต่อให้ฮวาเชียนจือจะเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นป่ายฮวา แต่ซูฉีฉีก็หาได้กลัวฮวาเชียนจือไม่
“แน่นอน” ฮวาเชียนจือแสดงท่าทีประดุจนายหญิงของที่แห่งนี้ นางเฉิดหน้าสูงพลางจ้องกลับไปที่ซูฉีฉี สีหน้าดูหมิ่นเหยียดหยามเป็นยิ่ง
นางคิดว่าขอเพียงนางออกโรง ซูฉีฉีจะต้องมิกล้าขัดอย่างแน่นอน
แม้ว่าซูฉีฉีนั้นจะมีศักดิ์เป็นพระชายา แต่ก็มิเคยได้รับความโปรดปรานจากม่อเวิ่นเฉิน อีกทั้งนางยังรู้ด้วยว่าซูฉีฉีกับม่อเวิ่นเฉินนั้นเป็นเพียงสามีภรรยากันแต่ในนามเท่านั้น มิได้เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกันแต่อย่างใด
จากจุดนี้ นางก็รู้แล้วว่าซูฉีฉีไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้
ซูฉีฉีที่ยังคงก้มหน้าเขียนงานในมือของตนนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าหากคุณหนูฮวาคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้ว ทางที่ดีควรจะถามท่านอ๋องก่อน”
นางทำเพียงแค่เอ่ยเรียบๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
ซูฉีฉีไม่ได้เอ่ยด้วยท่าทีวางอำนาจ นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาประชันอำนาจกัน การต่อกรกับสตรีเช่นนี้นั้นต้องใช้สติปัญญา
“เจ้า…” ฮวาเชียนจือมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทีหยิ่งยโสนั้นได้มลายหายไป จริงอยู่ตอนนี้นางนั้นไม่มีอำนาจจะยื่นมือมาจัดการเรื่องราวในตำหนักทั้งหมดอีก นางมาหาเรื่องถึงที่นี่ก็ใช้เพียงแต่ฐานะองค์หญิงแคว้นป่ายฮวาของตนมาขู่เท่านั้น
แต่ว่าฐานะนี้กลับเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการไม่ได้ นางไม่อาจกลับเข้าไปที่ราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาได้อย่างเป็นทางการ
ซูฉีฉีมองข้ามโทสะของนางไปก่อนจะเลิกตาขึ้นเล็กน้อย “ถ้าหากคุณหนูฮวาไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็เชิญกลับห้องไปลองชุดแต่งงานเถิด พรุ่งนี้ยังต้องรายงานให้กับทางราชวงศ์ของแคว้นป่ายฮวาอีก”
บางทีอาจเป็นเพราะฮ่องเต้หญิงของแคว้นป่ายฮวารู้สึกติดค้างฮวาเชียนจือ ถึงได้ยอมทำตามที่นางขอทุกอย่าง กระทั่งชุดแต่งงานยังให้คนส่งมาให้ ทูตแคว้นนั้นยังคงรออยู่ด้านในตำหนักอ๋อง
ฮวาเชียนจือสะบัดแขนเสื้ออย่างมีโทสะ ทว่านางกลับไม่รู้จะเอ่ยตอบยังไง ทำได้เพียงแค่จากไปด้วยความหงุดหงิด
ความเกลียดชังในจิตใจค่อยๆ ก่อตัวมากขึ้น นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าซูฉีฉีจะมิต้องออกแรงใดๆ ก็สามารถทำให้นางพ่ายแพ้อย่างย่อยยับได้ถึงเพียงนี้
ยังมิต้องพูดถึงว่านางมิอาจช่วยกู้สถานการณ์ให้กับผู้คุมบัญชีได้ แค่การมาโวยวายครั้งนี้ก็ทำให้นางไม่กล้าหาเรื่องซูฉีฉีอย่างเปิดเผยได้อีกแล้ว
อีกทั้งในทางลับนั้น จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของซูฉีฉีได้กัน ตอนนี้ฮวาเชียนจือยิ่งทนให้ซูฉีฉีมีตัวตนอยู่ต่อไปไม่ได้อีก
ในใจของนางได้วางแผนการทั้งหมดไว้แล้ว อีกทั้งนางยังรู้สึกทนรอให้มันสำเร็จไม่ไหว
เมื่อถึงเวลานั้น นางอยากจะรู้จริงๆ ว่าซูฉีฉีจะมีหนทางใดในการพลิกสถานการณ์ได้
“จะต้องให้เจ้าตายอย่างอนาถให้ได้” ฮวาเชียนจือกำหมัดแน่นพลางเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงนางจะแย่งชิงตำแหน่งพระชายาของตำหนักอ๋องกลับมาเป็นของตนเอง อีกทั้งนางยังสามารถกำจัดหนามยอกอกไปได้อีกด้วย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากนางก็กระยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ม่อเวิ่นเฉินที่ยืนอยู่ในเรือนเห็นสถานการณ์ทั้งหมด สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยน เขาเพียงแค่ส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่ากำลังถอดถอนใจให้กับซูฉีฉีหรือว่าฮวาเชียนจือกันแน่
เขาไม่ชอบเรื่องจุกจิกและเสียงถกเถียง เพราะเหตุนั้นในตำหนักอ๋องจึงไม่เคยมีสตรี
ซูฉีฉีนั้นแต่งเพราะราชโองการของฮ่องเต้ และฮวาเชียนจือนั้นถือว่าแต่งเพราะราชโองการของฮ่องเต้หญิงแคว้นป่ายฮวา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นทำให้เขารู้แล้วว่า ฮวาเชียนจือนั้นไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของซูฉีฉีอย่างแน่นอน
เพราะว่าเรื่องของผู้คุ้มบัญชี ทำให้คนใช้ทั้งหลายของตำหนักอ๋องนั้นสงบเรียบร้อยขึ้นมาก ไม่มีใครกล้าหาเรื่องซูฉีฉีต่อหน้าอีก และยิ่งไม่มีใครกล้าแอบทำเรื่องไม่ดีในทางลับ
หิมะโปรยปรายอยู่กลางอากาศต้อนรับเทศกาลปีใหม่
เป็นครั้งแรกที่ม่อเวิ่นเฉิน ซูฉีฉี และฮวาเชียนจือนั้นนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน เหลิ่งเหยียนเองก็นั่งลงด้วย สีหน้าของเขามิได้แข็งกระด้างมากเหมือนเวลาปกติ คนใช้หลายคนได้ถูกซูฉีฉีปล่อยให้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นตำหนักอ๋องจึงดูเงียบเหงาลงมากกว่าเดิมนัก
ความรู้สึกเช่นนี้ ซูฉีฉีหาได้ใส่ใจไม่
ในปีใหม่นี้ไม่มีมารดาของตน และประโยคที่คนผู้นั้นเคยเอ่ย บางทีนางควรจะลืมไปได้แล้ว นางมิได้คาดหวังอันใดมากนัก
ฮวาเชียนจือที่ประทินโฉมมาอย่างงดงามนั้นก็กำลังคีบอาหารให้กับม่อเวิ่นเฉินไม่หยุด คิ้วเรียวงามโค้งได้รูปทำให้นางดูเป็นมิตรมากกว่าปกติ
มีเพียงซูฉีฉีที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเฉยชา เสมือนว่าคนทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางก็มิปาน
ทว่าทางม่อเวิ่นเฉินนั้นกลับคีบอาหารไปไว้ในชามของซูฉีฉี เขามิได้เอ่ยอะไรและมิได้ส่งสายตามา มีเพียงแค่ท่าทางธรรมดาๆ แต่ว่าทุกคนในที่นี่ล้วนรู้ว่าการกระทำเช่นนั้นสำหรับม่อเวิ่นเฉินแล้ว ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
ในคืนวันปีใหม่ ม่อเวิ่นเฉินไม่อยากจะเห็นซูฉีฉีมีท่าทีเสียใจหรือเป็นทุกข์อีก
เขาทำอย่างนี้เป็นเพราะความสงสารนางก็ดี หรือจะเป็นความปวดใจก็ดี
ซูฉีฉีที่เดิมก้มหน้ากินข้าวอยู่นั้นก็นิ่งอึ้งไป เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองม่อเวิ่นเฉินนั้น ก็เห็นเพียงเขากำลังก้มหน้ากินข้าวอยู่
ระหว่างพวกเขานั้นพูดคุยกันน้อยมาก และต่อให้คุยก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในตำหนักอ๋องหรือว่าความรู้ทางด้านวิชาการแพทย์ ผ่านไปสักพักการที่ทั้งสองหันมาสบตากันนั้นก็เหลือเพียงความเงียบแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินนั้นจะเอ่ยเล่นพูดคุยเฉพาะตอนที่มีเหลยอวี๊เฟิงอยู่ด้วยกระมัง
คนทั้งสองนั้นมิได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เหลิ่งเหยียนเองก็หันไปมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่แวบหนึ่ง มีเพียงฮวาเชียนจือเท่านั้นที่ถึงแม้ว่าสีหน้าของนางจะยิ้มแย้ม ทว่านางลอบกัดฟันแน่น เสมือนจะกัดให้ฟันของตนนั้นแตกละเอียดเสียให้ได้
มือที่กำตะเกียบไม้ไผ่ไว้ก็กำไว้แน่น นางโมโห อิจฉา ไม่พอใจ…
มื้ออาหารข้ามวันปีใหม่นี้ก็ได้จบลงอย่างเงียบสงบ
ฮวาเชียนจืออยากจะหาข้ออ้างอยู่ต่อ ทว่าม่อเวิ่นเฉินกลับเดินจากไปเสียก่อน ทว่าก่อนออกไปนั้นกลับสั่งให้ซูฉีฉีเมื่อเก็บของเสร็จแล้วไปหาเขาที่ห้องพัก
ค่ำคืนดึกดื่น หนุ่มสาวอยู่กันสองต่อสองนั้นยิ่งทำให้ฮวาเชียนจือไม่อาจยอมรับได้ ทว่านางก็ไม่อาจเอ่ยห้ามได้เช่นกัน
จึงทำได้เพียงแค่กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ก่อนที่ความคิดที่จะดำเนินแผนการของนางนั้นจะยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้น
ไม่มีใครสามารถขัดขวางได้
หลังจากที่ประทัดส่งเสียงดังครบรอบหนึ่งแล้ว บรรยากาศก็ได้เงียบสงบลงเสียที
ตำหนักอ๋องที่ใหญ่โตนี้ คนรับใช้นั้นล้วนกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว มีเพียงผู้เฝ้าประตูที่ยืนนิ่งอยู่ตรงขอบประตูเท่านั้น
ทั่วทั้งตำหนักนั้นล้วนผูกผ้าสีสันสดใส โคมแดงถูกแขวนไว้ตลอดทางจนถึงเรือนเล็กที่ด้านหลังตำหนัก แสงไฟของโคมสาดส่องจนบริเวณโดยรอบสว่างจ้า
ทำให้ปีนี้ที่เป็นค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดนั้นถูกส่องสว่างจนผิดปกติ
ซูฉีฉีนั้นมิได้คิดอะไรมาก นางเก็บของทั้งหมดอย่างเชื่อฟังก่อนจะตรวจดูองครักษ์ที่ยืนประจำอยู่ทุกจุด แล้วจึงเดินไปทางห้องพักของม่อเวิ่นเฉิน
พวกเขาอยู่ห้องพักข้างกัน ทำให้นางเพียงแค่ก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือ?” ม่อเวิ่นเฉินนั้นกำลังนอนพิงอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวขณะสายตาจับจ้องไปที่ทิศทางอันไกลโพ้น เมื่อซูฉีฉีก้าวเดินเข้ามานั้นนางก็เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง
“นั่งเถิด” ม่อเวิ่นเฉินมิได้เลิกตาขึ้นมามอง สายตาของเขายังคงมองไปที่ทิศทางอันไกลโพ้น
เขาเอ่ยเสียงเรียบออกมาประโยคหนึ่ง
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ซูฉีฉีก็ไม่สะดวกที่จะเอ่ยต่อ จึงนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา
“ทุกปีในเวลาเช่นนี้ เจ้าจะทำอะไรบ้างหรือ?” บนใบหน้าของม่อเวิ่นเฉินนั้นมีความอ้างว้างที่ยากจะปรากฏ เพราะว่าบนใบหน้าเขามักจะมีความสง่างามและความโหดร้ายอยู่เสมอ
เมื่อเขาเอ่ยขึ้น ไหล่ของซูฉีฉีก็สั่นระริกเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ นางขยับเข้าพิงกับเก้าอี้ก่อนจะแหงนหน้าขึ้น ดวงตาของนางที่นิ่งสงบนั้นถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่แฝงไปด้วยความสุขจางๆ “วันนี้ของทุกปี ข้ามักจะอยู่ในเรือนเล็กกับมารดาและจุดเทียนสีแดง ทำอาหารง่ายๆ สองอย่าง ประพันธ์กาพย์กลอนพลางมองออกไปตรงทิศทางอันไกลโพ้น และภาวนาให้ทุกปีเป็นเช่นนี้”
เห็นได้ชัดว่าซูฉีฉีนั้นชอบชีวิตที่ผ่านมาของตนมาก แม้ว่าจะลำบากแต่ว่าก็มีความสุข
“มารดาของเจ้าไม่เคยคิดจะแย่งเอาทุกอย่างที่เป็นของนางกลับมาหรือ?” ม่อเวิ่นเฉินอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เพียงเพราว่าเขาเลิกตาขึ้นไปสบตาเข้ากับดวงตาของซูฉีฉี
ดวงหน้าที่ถือได้ว่าแค่ดูสบายสะอาดตาเท่านั้น แต่กลับมีประกายแห่งแสงสว่างสาดส่องออกมาจางๆ
ซูฉีฉียิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้า “มารดานั้นไม่เคยคิดแก่งแย่งชิงดีกับใคร”
“เจ้าก็เช่นกัน” ม่อเวิ่นเฉินมองซูฉีฉีนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
แสงเทียนที่สะท้อนใบหน้าของสองคนนั้น ทำให้ภาพตรงหน้าดูพร่ามัวเล็กน้อย
ติดตามอัพเดทก่อนใคร ด้วยการกดไลค์แฟนเพจเรื่อง “ชายาคนงามของท่านอ๋องจอมโหด” : https://bit.ly/2MGbkiF
อ่านฟรีได้ที่นี่ หรือ
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/view/905
120/เล่ม (หากนับตอนฟรีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 90-100 บาท/เล่มค่ะ ) เมื่อเทียบกับนิยายแปลเป็นเล่ม 30 ตอนเท่ากับ 1 เล่ม