สำหรับคำถามของซูชือฉานนั้น ซูฉีฉีก็พยักหน้าตอบอย่างแรงเพราะนี่เป็นความจริง
นางทำอย่างนี้ก็เพื่อต้องการจะรู้จุดประสงค์ของซูชือฉาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉีฉี เจ้าเคยคิดอยากจะไปจากที่นั่นหรือไม่?” ซูชือฉางมองตรงไปที่ซูฉีฉี มองตรงไปยังบุตรสาวที่เขาไม่ค่อยรู้จักดีนัก “ตอนแรกที่ให้เจ้าแต่งไปที่เมืองอ้าว พ่อเองก็ทำไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่น”
ดวงตาของซูฉีฉีฉายความเย็นชาออกมาแวบหนึ่ง นางก้มหน้าลงพยายามปิดบังอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ให้ซูชือฉางรู้
“ลูกรู้” ต่อหน้าซูชือฉางนั้นซูฉีฉีมักจะก้มหน้าก้มตา เรียบร้อยมีมารยาทอยู่เสมอ น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความอดสูอยู่ไม่น้อย
การแสดงสมจริงถึงสามส่วน
แต่ว่าซูชือฉางนั้นไม่ได้เอ่ยต่อโดยทันที เขาใช้สายตามองซูฉีฉีขึ้นๆ ลงๆ เป็นการวิเคราะห์ “ฉีฉี ได้ยินมาว่าพิษของท่านอ๋องนั้นเจ้าเป็นคนแก้ด้วยตนเองหรือ?”
ในใจของนางบีบแน่นขึ้น คิ้วของซูฉีฉีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาขยับไปมาเบาๆ “เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ท่านพ่อก็รู้ ลูกอยู่ที่ตำหนักอ๋องนั้นไม่มีฐานะใดๆ ทุกเรื่องล้วนแต่ต้องฟังคำสั่งจากม่อเวิ่นเฉิน”
เรื่อนี้นอกจากคนในตำหนักอ๋องแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้รายละเอียดที่แท้จริง ตอนนี้นางก็เพียงแค่ตอบไปอย่างคร่าวๆ เท่านั้น
ซูชือฉางเงยหน้าขึ้นพลางลูบเคราใต้คางของตนเบาๆ เขาหรี่ตาทั้งสองลง ไม่ได้เอ่ยใดๆ ออกมาอีกเป็นเวลานาน
ซูฉีฉียืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น สีหน้าของนางมีความอ่อนน้อม ท่าทีเรียบร้อยเฉกเช่นเดียวกับตอนที่นางยังไม่ได้แต่งงานออกไป
“อยากกลับมาอยู่ข้างกายแม่เจ้าหรือไม่?” ซูชือฉางถามกลับอีกครั้ง
“อยาก” ซูฉีฉีตอบกลับโดยทันที
จุดนี้ซูชือฉางนั้นไม่มีทางสงสัย บุตรสาวนนี้ตั้งแต่เล็กจนโตนั้นขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่ปกป้องมารดาของตนนางก็ยอมทำทุกเรื่อง
“ได้ นั้นก็ฟังที่พ่อพูดนะ” แววตาของซูชือฉางปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายและยังแฝงไปด้วยความเย็นชาออกมาแวบหนึ่ง ทว่าไม่นานก็จางหายไป
เขาไม่ได้คิดไปถึงชีวิตภายหลังของบุตรสาว ตอนนี้เขาแค่ไม่อยากให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจวนอัครมหาเสนาบดีของเขาจะต้องไม่รอดแน่
ซูฉีฉีพยักหน้า
ซูชือฉางหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อของตนก่อนจะยื่นใส่มือของซูฉีฉีไปอย่างระมัดระวัง: “ขอเพียงเจ้านำจดหมายนี้ไปซ่อนไว้ใต้หมอนม่อเวิ่นเฉินหรือว่าบนตัวเขาก็พอแล้ว”
เมื่อรับจดหมายฉบับนี้มา ซูฉีฉีก็ฉีกยิ้มที่มุมปาก คิดไม่ถึงว่าบุคคลที่เป็นถึงฮ่องเต้จะใช้วิธีที่ต่ำช้าถึงเพียงนี้ แต่ว่าคิดอีกทีอาจจะเป็นความคิดของบิดานางก็เป็นได้
นางรับมันมาเก็บไว้ในแขนเสื้อก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ
ยังไม่รอให้นางหมุนตัวออกไป ซูชือฉางกลับพูดเบาๆ ออกมาอีกประโยคหนึ่ง: “อยากให้แม่ของเจ้าปลอดภัย ทางที่ดีอย่าคิดจะเล่นลูกไม้ตุกติกอะไรเป็นอันขาด” สำหรับบุตรสาวคนนี้ เขากลับรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
เพราะว่าไม่รู้จักดี เขาจึงไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร
ไหล่ของซูฉีฉีแข็งขึ้นก่อนที่นางจะค่อยๆ หันหน้ากลับไป “ท่านพ่อวางใจเถอะ”
ท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้คนรู้สึกวางใจจริงๆ
ซูฉีฉีที่กำลังย่างก้าวออกไปนั้นถึงแม้ว่าทุกก้าวจะสม่ำเสมอและมั่นคง ทว่าในใจของนางกลับว้าวุ่นไปหมด อยู่ๆ นางก็ไม่รู้ว่าตนเองควรทำเช่นไรดี ม่อเวิ่นเฉินนั้นรู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมด นางเองก็ไม่มีทางถอยแล้วเช่นกัน
ทว่าเมื่อคิดถึงประโยคนั้นของซูชือฉาง ซูฉีฉีก็ก็อดเป็นห่วงมารดาของตนอีกไม่ได้
เมื่อตอนที่นางออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีนั้นพระอาทิตย์ก็ได้ตกดินแล้ว เกี้ยวหยกของวังหลวงนั้นก็เฝ้ารออยู่ที่นอกจวนอย่างไม่รอช้า
พบกันสั้นๆ เพียงวันเดียว ซูฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะโอบกอดเสี่ยวเตี๋ยอย่างอาลัยอาวรณ์ จากกันครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้พบกัน โดยเฉพาะตอนนี้ที่จะเป็นจะตายก็ยากที่จะรู้ได้เช่นนี้
“ลูก อย่าร้องไห้เลย” เสี่ยวเตี๋ยเองก็โอบกอดซูฉีฉี หลายครั้งที่นางเหมือนจะอยากพูดอะไรทว่าก็หยุดเอาเสียดื้อๆ มือที่โอบกอดซูฉีฉีบีบรัดมากขึ้น “จำไว้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ดีๆ ”
ซูฉีฉีพยักหน้าแรง ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ติดอยู่บนหางตาของเสี่ยวเตี๋ย
ตอนนี้นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเสียจริง นางไม่สามารถปกป้องมารดาของตนให้ดีได้
“ฉีฉี ต่างหูหยกคู่นั้นยังอยู่หรือไม่?” อยู่ๆ เสี่ยวเตี๋ยก็เอ่ยถามขึ้นมา “จำไว้ ห้ามทำหายโดยเด็ดขาด”
ซูฉีฉียกมือขึ้นจับตรงอกก่อนจะเอ่ยปากรับคำ
ในใจก็รู้สึกปั่นป่วนยากจะสงบได้ แต่นางก็ไม่รู้จะปลอบใจเสี่ยวเตี๋ยได้เช่นไร
ก่อนจากไปนางเพียงเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง: “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านระวังตัวให้ดีนะ”
ในวังหลวง
ม่อเวิ่นเฉินและม่อเวิ่นเสวียนกำลังดื่มสุรากันอยู่ คนทั้งสองคนดูอารมณ์ดีไม่น้อย ล่าสัตว์มาทั้งวันผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเลย
โดยเฉพาะเมื่อม่อเวิ่นเฉินยอมต่อให้ม่อเวิ่นเสวียนอยู่หลายตัว ทำให้ในใจของม่อเวิ่นเสวียนสงบลงไม่น้อย
แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ในสายตาเขาก็ยังไม่อาจไว้ชีวิตเสด็จน้องคนนี้ได้ เขาผู้นี้เป็นดั่งเทพเซียนในใจของประชาชน ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ฮ่องเต้แคว้นต้าเยียนอย่างเขาก็ต้องถุกกดให้ต่ำลงอยู่สามส่วน
ถ้าหากไม่มีม่อเวิ่นเฉิน ม่อเวิ่นเสวียนก็จะเป็นเหมือนตำนานที่มีชีวิตอยู่ก็มิปาน
น่าเสียดายที่ม่อเวิ่นเฉินมักจะอยู่เสมอ
เมื่อเห็นซูเมิ่งหรูและซูฉีฉีย่างก้าวเข้ามา พวกเหล่าขุนนางก็เริ่มซุบซิบนินทากัน แต่ว่าพวกเขาล้วนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบามาก
เมื่อม่อเวิ่นเฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาของซูฉีฉีที่เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มาก่อนนั้นเขาก็ส่ายหน้าเบาๆ พลางลอบกำมือแน่น ในใจกลับมีความรู้สึกปวดใจปรากฏขึ้นจางๆ
ทว่าไม่นานเขาก็ควบคุมอารมณ์ในใจของตนเองเอาไว้ได้ ที่เขาต้องการนั้นไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอไร้ทางสู้ แต่สตรีที่จะอยู่ข้างเขาได้นั้นจะต้องอดทนรับในสิ่งที่คนทั่วไปรับไม่ได้ต่างหาก
หลังจากงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ได้จบไป ซูฉีฉีก็เดินตามม่อเวิ่นเฉินกลับไปที่เรือนรับรอง คนทั้งสองล้วนเงียบสนิท ไม่ได้พูดจาต่อกัน
เปลวเพลิงของเทียนไขสั่นไหวไปมา แสงในห้องมืดบ้างสว่างบ้าง สีหน้าของซูฉีฉีมืดคล้ำขึ้นเล็กน้อย ตั้งแต่นางกลับมาจากจวนซู นางก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก นางมักจะรู้สึกว่าในใจนั้นมีความหนักอึ้งยิ่งนัก
นางไม่อยากเป็นศัตรูกับม่อเวิ่นเฉิน แต่นางเองก็กลัวว่าจะดึงมารดาตนให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
แต่ต่อให้นางช่วยม่อเวิ่นเสวียนแล้วจริงๆ นางและมารดาของตนยังจะสามารถมีชีวิตได้อีกหรือ? ในใจของนางสับสนมาก ฝ่ามือปรากฏเม็ดเหงื่อออกมาจำนวนมาก
แม้ว่านี่จะเป็นกลางฤดูหนาวแล้ว แต่นางกลับรู้สึกร้อนรุ่มยิ่งนัก
ม่อเวิ่นเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นมีสีหน้าราบเรียบ โครงหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นแฝงด้วยความเย็นชาอยู่ไม่น้อย ดูไม่ออกว่าเขาในตอนนี้มีอารมณ์เช่นใด ดวงตาดูลึกล้ำยากจะคาดเดา ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ทว่าเขากลับไม่เอ่ยคำใดๆออกมาแล้วก็ไม่แม้แต่จะมองไปที่ซูฉีฉี เขาเพียงแค่ยืนพิงอยู่หน้าเตียงเท่านั้น
เมื่อซูฉีฉีเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาของม่อเวิ่นเฉิน ใบหน้าที่ผสานความคมเข้มและงดงามเข้าด้วยกัน
ซูฉีฉีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อช้าๆ นางปิดตาลง ผ่านไปเนิ่นนานดวงตาคู่นั้นถึงลืมขึ้น นางรู้ว่าตนไม่มีความสามารถพอจะต้านทานม่อเวิ่นเฉินได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการกระทำของนาง แค่ว่าม่อเวิ่นเสวียนคิดจะทำอะไรนั้นม่อเวิ่นเฉินคงต้องรู้ดีอยู่แล้วเป็นแน่
บุรุษเช่นนี้ ใครจะกล้าเป็นศัตรูกับเขากัน!
ยิ่งไปกว่านั้นในใจนางก็คิดแต่อยากจะช่วยเหลือเขา
ในที่สุดนางก็หนีบเอาจดหมายนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ซูฉีฉีลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆเดินไปตรงหน้าม่อเวิ่นเฉินและยื่นจดหมายนั้นไปส่งให้ถึงมือของเขา
ริมฝีปากของม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้กระดกขึ้น เหมือนกับว่ากำลังยิ้ม ทว่ายิ้มนั้นกลับเย็นยะเยือกอยู่ไม่น้อย
รอยยิ้มนั้นทำให้ในใจของซูฉีฉีรู้สึกหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม
“วางใจเถอะ ข้าจะปกป้องความปลอดภัยของแม่เจ้าเอง” ม่อเวิ่นเฉินเปิดจดหมายนั้นออกก่อนจะเผามันให้เป็นธุลี จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น นับว่าเป็นคำสัญญาที่ให้กับซูฉีฉี
แสงจากเปลวไฟสาดส่องมาที่เสื้อคลุมยาวสีดำสนิทของเขา ประกอบกับรูปร่างอันสูงโปร่งและแววตาอันเย็นชาไร้อารมณ์ ม่อเวิ่นเฉินที่เป็นเช่นนี้นั้นดูน่ากลัวยิ่ง ซ้ำยังมีไออำมหิตและความอาฆาตกระจายออกมาด้วย
บางทีเขาอาจจะคิดได้ถึแผนการของม่อเวิ่นเสวียน ทว่าเมื่อเห็นกับตาเข้าจริงๆ ในใจก็ยังคงเจ็บปวดกระมัง
ยังไงเสียพวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมบิดาของกันและกัน
เผาถั่วด้วยก้านถั่ว เมล็ดถั่วร้องร่ำไห้ เดิมเติบโตจากต้นเดียว ไยต้องหาญเข่นฆ่ากัน
ในที่สุดความกังวลที่อยู่ในใจของซูฉีฉีก็คลายลง นางเชื่อว่าม่อเวิ่นเฉินพูดได้ทำได้ อีกทั้งยังเชื่อว่าเขามีความสามารถพอจะทำเช่นนั้น
ซูฉีฉีควบคุมอารมณ์ของตัวเองเสร็จแล้ว นางก็ทำการจัดเตียงให้เรียบร้อย เดิมนางคิดจะไปนอนพักบนเก้าอี้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่าม่อเวิ่นเฉินนอนลงบนเตียงยาวพร้อมทั้งเสื้อผ้าครบชุด ดวงตาทั้งสองปิดสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในใจของนางก็ค่อยๆ เบิกบานขึ้น ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจพุ่งทะลวงออกมา คืนนี้จะต้องเป็นคืนที่นางหลับฝันดีแน่นอน
ติดตามอัพเดทก่อนใคร ด้วยการกดไลค์แฟนเพจเรื่อง “ชายาคนงามของท่านอ๋องจอมโหด” : https://bit.ly/2MGbkiF
อ่านฟรีได้ที่นี่ หรือ
อ่านล่วงหน้า เร็วกว่าใครหลายร้อยตอนได้ที่เว็บไซต์ กวีบุ๊ค : https://www.kawebook.com/story/view/905
120/เล่ม (หากนับตอนฟรีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 90-100 บาท/เล่มค่ะ ) เมื่อเทียบกับนิยายแปลเป็นเล่ม 30 ตอนเท่ากับ 1 เล่ม